ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 11-12 ส.ค.2564
“ประเด็นเศรษฐกิจที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด มีเยอะนับไม่ถ้วน แต่พอสรุปได้หลายเรื่อง เช่น กรณีที่ กกร. เสนอให้รัฐบาลขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะเป็น 65-70% ของจีดีพี เพราะมองว่า พ.ร.ก.กู้เงินทั้งสองฉบับ วงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท ไม่เพียงพอเยียวยาโควิด “รมว.คลัง” ตอบว่า ยังไม่จำเป็นต้องปรับกรอบเพดานหนี้สาธารณะให้สูงขึ้น โดยยังคงยึดเพดานหนี้อยู่ที่ 60% ของจีดีพี ซึ่งเป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลัง การจะกู้เงินเพิ่มต้องมีแผนงานรองรับที่ชัดเจนก่อนถึงจะเริ่มดำเนินการกู้เงินตาม พ.ร.ก.ได้ ส่วนเรื่องหนี้สาธารณะ ยังไม่จำเป็นต้องขยายเพดานให้สูงขึ้น”
เรื่องที่ 68 “แพตริเซีย มงคลวนิช” ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ระบุว่า พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท มีการกู้เงินเพื่อใช้จ่ายตามมาตรการบรรเทาผลกระทบโควิด-19 ในส่วนของฟื้นฟูและเยียวยาแล้ว 840,000 ล้านบาท ขณะที่ พ.ร.ก.เงินกู้ 500,000 ล้านบาท ขณะนี้ยังไม่ได้มีการกู้แต่อย่างใด เนื่องจากจะต้องรอดูแผนงานก่อน ถ้าแผนงานต่าง ๆ ผ่านครม. แล้ว สบน.ถึงจะดำเนินการกู้เพื่อนำมาใช้จ่าย
ณ วันที่ 30 มิ.ย.2564 หนี้สาธารณะต่อจีดีพียังอยู่ที่ 56.09% และคาดว่า จนถึงสิ้นปี 2564 หนี้สาธารณะจะสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 58% แต่ยังต้องลุ้นกันอีกนิด!! ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจปั่นป่วนแบบนี้ ตัวเลขจีดีพีจากสภาพัฒน์ฯ ในครั้งต่อไปว่า จะปรับลดลงมากน้อยแค่ไหน ในขณะที่ หนี้สาธารณะต้องไม่เกินกรอบวินัยการเงินการคลัง 60%
ดังนั้น การทบทวนกรอบเพดาหนี้สาธารณะ เนื่องจากครบรอบกำหนด 3 ปีที่ต้องมีการทบทวนพ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐบังคับใช้เมื่อปี 2561 นายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เพื่อทบทวนกรอบหนี้สาธารณะแม้แต่ครั้งเดียว โปรดรับทราบโดยทั่วกัน…
เรื่องที่ 69 เอาคนต้นทุนไม่สูง! มาเคลียร์ใจ “คนฝากเงิน” จะไหวหรือ คงเพราะ “นายกฯ” และ “รองฯ สุพัฒนพงศ์” ไม่มีตัวเลือกมากนัก จึงให้ “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” เร่งสยบวิกฤตศรัทธา “นโยบายรัฐ” ว่าด้วยเรื่อง “ลดคุ้มครองเงินฝาก” เหลือแค่ “ล้านเดียว” และเริ่มแล้ว วันแรก 11 ส.ค.นี้ ฟัง “ขุนคลัง” อธิบายทฤษฎี ตอนแรกดูดีมากครับ แต่ผ่านไปสักพัก โคตรงง!! ท่านบอกว่า หาก “กลับหัว” ให้ผู้ฝากฯ ต่ำกว่า 1 ล้านในบัญชี มีสัดส่วนน้อยกว่าเศรษฐีระดับ 8 หลักขึ้นไปล่ะก็ ขืนทำเยี่ยงนี้…รังแต่จะก่อปัญหา มีหวังย้ายฐานเงินฝากไปต่างแดนกันหมด
แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง น่าจะยินดีกันนะ คนไทยมีเงินในกระเป๋าเกินกว่า 1 ล้านบาท จำนวนมากๆ ก็สมกับความตั้งใจ “คนจนหมด…ประเทศ” ฟังอีกครั้ง “คนจนหมด…ทั้งประเทศ”
ยังไม่จบ “ท่านอาคม” บอก สถานบันการเงินไทยแข็งแกร่ง มีทุนสำรองสูงสุดในอาเซียน แล้วเกี่ยวอะไรกับการคุ้มครองเงินฝากของประชาชน คำถามคือ หากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ “แบงก์ล้ม” หรือ เหมือนกับวิกฤติปี2540 บัญชีเงินฝากที่เกิน “1 ล้าน” ยังจะมีแบงก์ไหนหาเงินมาคืนผู้ฝากเงิน หรือผู้ถือหุ้นแบงก์คนไหนยอมจ่ายเงินส่วนนี้
เรื่องที่ 70 จากมิตร จะเปลี่ยนเป็นศัตรู หากเสียงสะท้อน “ผลลบ” ด้านเศรษฐกิจ ดังออกมาจากมหาวิทยาลัยค่ายนี้ คือ “มหาวิทยารังสิต” เชื่อได้ โดยไม่ต้องคิดเยอะว่า เศรษฐกิจไทย ภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ไม่ดีจริงๆ!!! ที่ผ่านมา คณาจารย์-นักวิชาการ จากค่ายมหาวิทยาลัยรังสิตของ “อาทิตย์ อุไรรัตน์” เชียร์ “ลุง” ออกนอกหน้า นับตั้งแต่ “ลุงกำนัน” ถึง “ลุงตู่” แต่รอบนี้ “อนุสรณ์ ธรรมใจ” รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการฯ พูดชัด! เศรษฐกิจระดับล่าง ตั้งแต่เอสเอ็มอีไล่ลงไปถึงประชาชน “คนหาเช้ากินค่ำ” ต่างได้รับพิษโควิดที่ถูกซ้ำเติมจากความไม่เข้าท่าของ “นโยบายรัฐ” ประมาณว่า “เกาไม่ถูกที่คัน” เลยไม่เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ยกเว้น! หนี้สาธารณะที่เพิ่มพรวด!!
หันมาอ่านข่าวดีๆ กันบ้าง เรื่องที่ 71 เปิดแล้ว หน่วยคัดกรองผู้ป่วยโควิดและโรงพยาบาลสนามครบวงจร โครงการ “ลมหายใจเดียวกัน” ของกลุ่ม ปตท.โดยมี นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กดปุ่ม ที่ ทำเนียบรัฐบาล ถ่ายทอดสดให้สื่อมวลชน เข้าชมผ่านระบบออนไลน์ MS. Team …โดยมี หน่วยคัดกรองที่อาคาร EnCo ส่วนโรงพยาบาลสนามเปิดที่โรงพยาบาลปิยะเวท และ โรงแรมเดอะบาซาร์ ระหว่างแถลงก็มีคนสงสัยเรื่องระบบเสียง ทำไมไม่ค่อยชัด เจ้าหน้าที่ก็ปรับให้ สุดท้ายมาเข้าใจตรงกัน เพราะน้ำเสียงท่านเป็นเช่น นี้เอง…
เรื่องที่ 72 ไม่ถอยอย่างแน่นอน ในขณะที่ปั๊มน้ำมันหลายต่อหลายแห่งถอดใจ ยอมขายกิจการ เพราะแบกรับต้นทุนไม่ไหวอันเรื่องมาจากสถานการณ์โควิดเป็นเหตุ…แต่ “โกศล แสงรังสี” บิ๊กบอส ฟีนิกซ์ พี-วัน กลับสวนกระแส กัดฟันเดินหน้า ลุยเปิดปั๊มฟีนิกซ์ ในรูปแบบไมโคร สเตชั่น เส้นทางสายหลักและสายรอง แว่วมาว่า ไตรมาส 4 ปีนี้จะเปิดให้บริการ 20 แห่งในเบื้องต้นและมีร้านกาแฟ “ต้นน้ำ คาเฟ่” ไว้ให้บริการ ที่สำคัญรสชาติกลมกล่อมไม่เหมือนใคร “บิ๊กบอส ฟีนิกซ์ พี-วัน” เขาบอกมาครับ!!
เรื่องที่ 73 ขอวกเข้าประเด็นการเมือง เมื่อ “บิ๊กตู่” หลบหน้าสื่อ งดให้สัมภาษณ์ แต่สั่งคณะทำงานทีมโฆษกรัฐบาล ตลอดจนราชการสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้ปรับแผนกระบวนการประชาสัมพันธ์ เน้นการสื่อสารรูปแบบใหม่ ใช้สื่อออนไลน์ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไปจนถึงยูทูป เพื่อให้เข้าถึงประชาชนโดยง่ายและรวดเร็ว
สำนักโฆษกฯ ไม่รอช้า รับลูกผุดรายการ “แจงให้เคลียร์” ทางเฟซบุ๊กและยูทูป นำโดย “อนุชา บูรพชัยศรี” โฆษกรัฐบาล และรองโฆษกอีก 2 ท่านคือ “รัชดา ธนาดิเรก” และ “ไตรศุลี ไตรสรณกุล” โดยทั้ง 3 ได้มาตอบคำถาม ไขข้อข้องใจในประเด็นต่างๆ สารพัดเรื่อง เกือบทุกวันกันเลยทีเดียว
แต่รูปแบบของรายงาน ไม่มีอะไร สดๆ ซิงๆ เล่าเรื่องแบบเดิมๆ เพียงแต่เอาข่าวมาไว้ในสื่อใหม่เท่านั้นเอง เหมือนกับราย การโทรทัศน์ช่อง NBT ในช่วงเวลาบ่ายๆ ที่ไม่ค่อยมีคนดู เพราะมีผู้ดำเนินรายการมาตอบข้อสงสัย หรือชี้แจงแถลงข่าวแบบจืดชืดน่าเบื่อจริงๆ
สวนทางกับพฤติกรรมการรับสื่อของคนรุ่นใหม่ และการสื่อสารสมัยใหม่ เพราะรูปแบบการนำเสนอของสื่อใหม่ๆ ทุกวันนี้ เน้นไปที่ความกระชับ ตรงไปตรงมา มากว่ารูปแบบรายการที่มีขั้นมีตอน พี่พิธีรีตอง ดังนั้น การจะเอาคนมานั่งโต๊ะตอบทีละคำถาม จึงเหมือนจะเป็นความพยายามที่สูญเปล่า ไม่ตอบโจทย์ของคนยุคนี้
ทิ้งท้ายก่อนจากกัน เรื่อง ตึกใหม่ของกระทรวงการคลัง เก็บไว้เป็นข้อมูลภาษาอังกฤษวันละคำ เสนอคำว่า “balcony” แปลว่า “ระเบียง” แต่ระเบียงของกรมบัญชีกลางมันหายไป…กลายเป็นตึกใหม่ผุดขึ้นมาแทน.
โดย นพวัชร์