Happy Shopping โชว์ยอดขายเกินเป้าทะลุ 530 ล้านบาท
แฮปปี้ ช้อปปิ้ง (happy shopping) ประกาศความสำเร็จสวนกระแสเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19 หลังดำเนินธุรกิจเพียงปีครึ่ง โชว์ยอดขายพุ่งขึ้นเติบโตเกินเป้าถึง 30% คาดยอดขายรวมสิ้นปีอยู่ที่ 530 ล้านบาท ชี้กลุ่มสินค้าอาหารเสริมครองใจลูกค้ามากที่สุด มั่นใจชนะวิกฤตได้ด้วยมาตรการรอบด้าน ทีมเวิร์คปรับตัวเร็ว พร้อมเผยโอกาสขยายธุรกิจในปี 2564
• ผลประกอบการปี 63 สร้างรายได้ 530 ล้านบาท ชู Food Supplement เป็นฮีโร่
• ย้ำธุรกิจแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยกลยุทธ์ขยายส่วนงานรอบด้าน เน้นปั้นเฮ้าส์แบรนด์ Happy Life+
• โชว์แผนรุกตลาดคอนเทนต์ ปรับบทบาทเป็น “มีเดีย” ผลิตรายการป้อนสถานีโทรทัศน์
4 แผนหลักเพื่อเติบโตทุกทิศทาง เริ่มที่การเพิ่มจำนวนเวลามีเดียเพื่อสนับสนุนแพลตฟอร์มหลักให้เติบโตต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการรุกตลาดออนไลน์อย่างจริงจัง เร่งพัฒนาระบบ E-Commerce ในรูปแบบดอทคอมและโมบายแอปพลิเคชัน ยึดเป้ายอดขายที่ 130 ล้านบาท ต่อด้วยแนวคิดปั้นทีมงานเพื่อผลักดันสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ happy life+ ให้แข็งแกร่ง ทั้งการเพิ่มไลน์สินค้าตอบโจทย์และกระจายช่องทางจัดจำหน่ายครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มซื้อขาย ปิดท้ายที่การขยับบทบาทมาเล่นในตลาดคอนเทนต์ เป็นผู้ผลิตรายการป้อนช่อง Nation 22 พร้อมคาดการณ์จะสร้างความสำเร็จทางธุรกิจในปีหน้าขึ้นอีก 15% อย่างแน่นอน
อภิรวี พิชญเดชะ กรรมการผู้จัดการบริษัท แฮปปี้ โปรดักส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (happy group) เปิดเผยความสำเร็จปัจจุบันมีตัวเลขฐานข้อมูลลูกค้า (Data) มากกว่า 200,000 รายในระยะเวลาดำเนินธุรกิจเพียง 17 เดือนที่ผ่านมา และคาดผลประกอบการปี 2563 ว่าจะสามารถปิดยอดขายได้ตามเป้าที่วางไว้ คือ 530 ล้านบาท โดยจะมีแผนเร่งยอดขายปลายปีสนับสนุนให้เติบโตได้ตามเป้าด้วยแคมเปญ “Happy Festival” นำเสนอทั้งสินค้าใหม่และสินค้าขายดีของ happy shopping ที่เหมาะเป็นของขวัญในเทศกาลปีใหม่ในราคาพิเศษสุดระหว่างวันที่ 25 พ.ย 2563 – 5 ม.ค 2564 โดยตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 50 ล้านบาทจากแคมเปญนี้
สำหรับสถานการณ์ธุรกิจของ happy shopping ตลอดปี 2563 ที่ผ่านมานั้น บริษัทต้องเผชิญกับวิกฤตจากโควิด-19 ไม่ต่างจากธุรกิจอื่น ซึ่งมีทั้งทิศทางบวกและลบ โดยการเปลี่ยนแปลงด้านการซื้อขายในช่วง Work from Home ตั้งแต่เมษายนถึงมิถุนายน พบว่ายอดขายพุ่งขึ้นจากเป้ากว่า 30% จากการปรับตัวไว แก้เกมตลาดด้วยการส่งสินค้าไฮไลท์สร้างรายได้หลัก อย่างกลุ่มสินค้าอาหารเสริม (Food Supplement) แบรนด์ Vita Daily ที่ขายดีจนสินค้าหมดสต็อกในเวลารวดเร็ว ตามด้วยผลิตภัณฑ์เสริมกระดูก Calcimac CII และกาแฟ Arabliss สามารถครองใจผู้บริโภคสนใจเรื่องสุขภาพได้เป็นอย่างดี ขณะที่หลังสถานการณ์คลี่คลาย พบสินค้าในกลุ่ม Living Kitchen มียอดขายลดลงกว่า 15% อีกทั้งยังพบว่าราคาเฉลี่ยที่ลูกค้าซื้อ (Ticket Size) ลดลงเหลือ 1,590 บาท จากเดิม 1,890 บาทต่อใบสั่งซื้อ แต่ในทางกลับกันมีปริมาณการสั่งซื้อเพิ่มเข้ามามากขึ้น และเห็นชัดว่าพฤติกรรมลูกค้ายังคงซื้อสินค้าซ้ำและต่อเนื่องทั้งจากวิธีกระตุ้นการขายจากบริษัท (Outbound) และตัวลูกค้าโทรเข้ามาสั่งซื้อเอง ซึ่งลูกค้าหนึ่งรายจะซื้อซ้ำในกลุ่มอาหารเสริม 3 – 4 ครั้งต่อปี
นอกจากนั้น ในธุรกิจกลุ่มท่องเที่ยวของ happy experience ก็ได้รับผลกระทบหนักหน่วงจากโควิดเช่นกัน จากเดิม 7 ทริป เหลือเพียง 1 ทริปเท่านั้นและต้องยกเลิกการท่องเที่ยวต่างประเทศทั้งหมด บริษัทจึงต้องมองหาโอกาสใหม่โดยเฉพาะการท่องเที่ยวภายในประเทศ สอดรับกับรัฐบาลออกนโยบายกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวในประเทศ นั่นจึงเป็นที่มาของการจัด Exclusive Trip ปัว – บ่อเกลือ จ.น่าน ในราคา 13,990 บาท ไหว้พระขอพร 3 วัน 2 คืน โดยจะเดินทาง 17-19 ธันวาคมนี้ ซึ่งหลังจากเปิดให้จองทริป มีผู้เข้ามาสอบถามกว่าร้อยคน และสามารถปิดทริปนี้ได้ภายใน 3 วันด้วยจำนวนผู้เดินทาง 44 ที่นั่งเต็มโควต้า และมีเสียงเรียกร้องให้เปิดทริปอื่น ๆ ภายในประเทศเพิ่มเติม ซึ่งนับเป็นช่องทางและโอกาสที่ดีสำหรับ happy experience ต่อไป
“ปัจจัยที่ทำให้เรารอดจากวิกฤติและการแข่งขันของตลาดที่รุนแรงได้นั้น มาจากการยึดหัวใจการทำงาน 3 ด้าน ได้แก่ 1.โครงสร้างที่ดี เรามีมาตรการที่วางแผนสำหรับป้องกันและแผนในการแก้วิกฤติไว้เป็นอย่างดี 2. การจัดการด้านสินค้าที่มีการปรับแผนทันท่วงทีตามช่วงเวลา สถานการณ์และความสนใจของลูกค้า เพราะเราศึกษาพฤติกรรมและข้อมูลจนสามารถรู้ใจลูกค้า นำมาสู่การวางแผนนำเสนอสินค้าให้เหมาะสมกับเวลาและไลฟ์สไตล์ผู้ซื้อ และ 3. ทีมงานที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจนและรู้เป้าหมาย นั่นจึงทำให้เราบรรลุเป้ารายได้และการขยายธุรกิจตามที่ตั้งใจเอาไว้ได้นั่นเอง”
สำหรับทิศทางในการทำงานและแผนธุรกิจของ happy shopping ในปี 2564 อภิรวี คาดการณ์ยอดขายไว้ที่ 600 ล้านบาทผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ TV อยู่ที่ 62% Online 22% และ Outbound 16% อีกทั้งยังเปิดแผนการดำเนินธุรกิจโดยจะแบ่งส่วนงานออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ ประกอบด้วย 1. การเพิ่มเส้นเวลาของ happy shopping ในช่วงเรทติ้งที่ดีของช่อง Nation 22 ซึ่งเป็นการสนับสนุนแพลตฟอร์มคอมเมิร์ซให้เติบโตและแข็งแกร่งมากขึ้น ต่อด้วย 2. รุกหนักช่องทางออนไลน์ให้มากขึ้น ซึ่งในปี 2563 ที่ผ่านมาสามารถปิดยอดขายที่ 54 ล้านบาท จึงคาดการณ์ได้ว่าในปี 2564 ช่องทางออนไลน์จะโต 200% จากปี 2563 โดยมีแผนเตรียมที่จะพัฒนาระบบ E-commerce ทั้งแนวทางสร้างแพลตฟอร์มซื้อขายในรูปแบบดอทคอม (.com) พร้อมกับการเปิดตัว Mobile application เร็ว ๆ นี้ โดยมองว่าอนาคตผู้บริโภคจะซื้อสินค้าต่าง ๆ ผ่านโลกออนไลน์มากขึ้น
ส่วนที่ 3 คือการเดินหน้า “ปั้นแบรนด์” กลุ่มสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ภายใต้ชื่อ happy life+ ให้เป็นที่รู้จักในตลาดและเดินหน้าทำการตลาดแบรนด์นี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะกลุ่มอาหารเสริมทั้ง 5 แบรนด์ในปัจจุบัน และมีแผนจะเพิ่มอีก 8 แบรนด์สินค้าทั้งในกลุ่มอาหารเสริมจำนวน 4 สินค้า และกลุ่มบิวตี้จำนวน 4 สินค้าในปี 2564 มาพร้อมกับการรุกขยายช่องทางการตลาด “นอกบ้าน” นอกเหนือจากการขายผ่านแพลตฟอร์มหลักของ happy shopping แล้ว ยังขายผ่านช่องทางดิจิทัลทีวีและโฮมช้อปปิ้งรายอื่น ตลอดจนช่องทางซื้อขายผ่าน Beauty Store และ Drugstore ทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันมีจำหน่ายแล้วที่ shop@24.com, ThailandBest.com, Lazada, Shopee, Priceza เป็นต้น อีกทั้งภายในครึ่งปีแรกจะร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนแห่งใหม่เพื่อผลิตสินค้าร่วมกัน เหมือนที่เคยประสบความสำเร็จกับแบรนด์ 4Valley กาแฟ 4 ดอย ซึ่งสามารถทำยอดขายไปกว่า 7.3 ล้านบาท สร้างความภูมิใจที่ได้มีส่วนช่วยเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟได้มีช่องทางการจัดจำหน่าย และเป็นที่รู้จักเพิ่มยิ่งขึ้น
อภิรวี กล่าวว่า สำหรับแผนการจัดการสินค้านั้น วางแผนที่จะเพิ่มจำนวนสินค้าในช่องทางต่าง ๆ มากขึ้น โดยช่องทางทีวีจะเพิ่มขึ้น 30% ส่วนช่องทางออนไลน์จะเพิ่มจำนวนอย่างก้าวกระโดดขึ้นอีก 733% เพื่อรองรับกับการขยายตัวของตลาดและกำลังซื้อผู้บริโภคในรูปแบบออนไลน์
ส่วนที่ 4 เป็นการเพิ่มบทบาทใหม่ในการเป็นผู้ผลิต TV Content โดยมีแผนจะผลิตรายการให้กับทางช่อง Nation 22 ซึ่งจะผลิตในระยะเริ่มต้นที่ 1-2 รายการ และจะมีขาย Media ในรายการด้วย ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญของ happy shopping ที่จะมีการเปิดตัวเร็วๆนี้ นอกจากนั้นยังมุ่งเน้นเรื่องการบริหารจัดการต้นทุน (Cost Management) โดยเฉพาะการขนส่ง โดยจะเจรจากับพาร์ทเนอร์เพื่อให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ตามแผน
“ปี 2564 จะเป็นปีที่เราวิ่งเข้าสู่คำว่า กำไร อย่างชัดเจน ซึ่งการวางแผนงาน ผลักดันการสร้างแบรนด์ และกำหนดส่วนงานต่าง ๆ ที่แยกออกมานั้นอย่างชัดเจน เรามั่นใจว่าจะสามารถตอบโจทย์ลูกค้า happy shopping ได้ตรงจุดตรงใจมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้พาร์ทเนอร์เข้ามาร่วมมือกับเราในหลากหลายแขนงธุรกิจมากขึ้น ไม่ว่า กลุ่มโรงพยาบาล ประกันชีวิต ก็สามารถมาเป็นพันธมิตรสินค้าและบริการกับเรา เติบโตไปด้วยกันได้” อภิรวี กล่าวทิ้งท้าย