อีริคสันจับมือจุฬาฯ ร่วมจัดแสดงนวัตกรรม 5G
อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศไทย ประกาศความร่วมมือล่าสุดในงาน “Chula 5G For Real Exhibition” โดยจัดแสดงและนำเสนอนวัตกรรมที่พัฒนาร่วมกันจากเทคโนโลยี 5G ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ IoT อาทิ รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Automos Vehicles) ทันตแพทย์ทางไกล (Tele-Dentistry) ที่ตอบรับสังคมสูงวัย และบริการตรวจรักษาทางไกล (Tele-Medical Services) ให้กับประชาชนผ่านเทคโนโลยีเอไอ
ศ.ดร. วาทิต เบญจพลกุล ประธานโครงการทดสอบบริการโทรคมนาคมไร้สาย 5G กล่าวว่า “ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ศูนย์ 5G Innovation Center ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยของเราได้พัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ มากมาย ร่วมกับพันธมิตรอื่น ๆ จากหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงอีริคสันด้วย ศูนย์ฯ แห่งนี้ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากสำนักงาน กสทช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) โดยมีพันธกิจหลักคือเพื่อพัฒนารูปแบบการใช้งานต่าง ๆ ที่มีคุณประโยชน์แก่สังคมและขับเคลื่อนให้เกิดธุรกิจใหม่ ๆ ขึ้น หนึ่งปีเต็ม ๆ ที่พวกเรามุ่งมั่นทำงานกันอย่างหนัก วันนี้เราพร้อมแสดงให้ทุกภาคส่วนได้เห็นความสำเร็จและความคืบหน้าของการพัฒนานวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี 5G ในประเทศไทยแล้ว”
เทคโนโลยี 5G จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไกลไปสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว พร้อมตอบสนองความต้องการและสร้างความน่าเชื่อถือได้ดีกว่า นอกจากนี้ยังสร้างโอกาสใหม่ ๆ ไปสู่กลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย ประกอบด้วย กลุ่มดูแลสุขภาพ (Healthcare) กลุ่มยานยนต์ (Automotive) และกลุ่มการผลิตด้านอุตสาหกรรม (Manufacturing) ทั้งนี้สำหรับประเทศไทยคาดการณ์ว่าภายใน พ.ศ. 2573 มูลค่าของรายได้รวมจากธุรกิจดิจิทัลที่เปิดใช้งานเทคโนโลยี 5G จะอยู่ที่ประมาณ 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
นางนาดีน อัลเลน ประธานบริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ถือเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่อีริคสันได้เป็นส่วนหนึ่งในความร่วมมือครั้งนี้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยี 5G ที่เข้ามาช่วยเสริมและสร้างนวัตกรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตที่ดีกว่าในงาน “Chula 5G For Real Exhibition”
“เราทราบกันดีว่าเทคโนโลยี 5G นั้นไม่ใช่เป็นเพียงเทคโนโลยีด้านเครือข่ายรุ่นถัดไปเท่านั้น แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยสร้างสรรค์นวัตกรรมมากมายให้เกิดขึ้นและเป็นจริงได้พร้อมกับผลักดันทั้งภาคอุตสาหกรรมและสังคมเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่ พร้อมนำพาเทคโนโลยี IoT ให้ก้าวไปสู่อีกขั้นหนึ่งที่จำเป็นต้องมีการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อรองรับการทำงานทั้งหมดตั้งแต่แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนไปจนถึงการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และหุ่นยนต์แบบเรียลไทม์ภายในโรงงาน” นางนาดีน กล่าวเสริม
ด้วยประสบการณ์และการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยกว่า 100 ปี อีริคสันมุ่งมั่นสนับสนุนผู้ให้บริการโทรคมนาคมเปิดใช้เทคโนโลยี 5G เพื่อรับประโยชน์อย่างเต็มที่จากเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ พร้อมมอบประสบการณ์ออนไลน์ที่เหนือกว่าให้แก่ผู้ใช้งาน โดยอีริคสันมีการลงทุนอย่างจริงจังด้านการวิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องในระดับโลกเพื่อพัฒนาพอร์ตโฟลิโอ 5G ให้มีความครอบคลุมและโดดเด่น อันประกอบไปด้วยแพลตฟอร์ม 5G ครบวงจรที่ครอบคลุมโซลูชั่นเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ Ericsson Spectrum Sharing และ 5G-ready (hardware) radios
นอกจากนี้ อีริคสันยังร่วมมือกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำรวมถึงมหาวิทยาลัยและสถาบันทางด้านเทคโนโลยีมากกว่า 40 แห่ง และพันธมิตรในอุตสาหกรรมอีก 30 ราย เพื่อสร้างความเข้าใจการพัฒนานวัตกรรมและสร้างระบบนิเวศ 5G ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
“การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้เครือข่ายโทรคมนาคมทั้งเครือข่ายมือถือและเครือข่ายอินเตอร์เน็ตบ้านสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ พร้อมย้ำให้เห็นความสำคัญของเทคโนโลยีการเชื่อมต่อคุณภาพสูงที่จะมีบทบาทต่อการดำเนินธุรกิจและขับเคลื่อนผลิตภาพของประเทศ โดยการเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือความเร็วสูงอย่าง 5G จะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการนำเสนอแพลตฟอร์มที่มีเสถียรภาพสำหรับสร้างสรรค์นวัตกรรมและสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย” นางนาดีนกล่าวสรุป
ปัจจุบันอีริคสันได้ลงนามในสัญญาทางการค้ากับลูกค้าต่าง ๆ ไปแล้วถึง 99 ราย โดยมีผู้ให้บริการถึง 55 รายได้เปิดใช้งานเครือข่าย 5G แล้วใน 5 ทวีป