KBank Private Banking แนะกระจายการลงทุนแม้เศรษฐกิจโลกสดใส
KBank Private Banking และ Lombard Odier คาดเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตดีในระยะยาวแนะกระจายการลงทุน และเพิ่มมิติการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด
KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier พันธมิตรทางธุรกิจไพรเวทแบงก์ระดับโลก จากสวิตเซอร์แลนด์ จัดงานสัมมนาในหัวข้อ Beyond the Numbers: ecoding the Economic Outlook ประเมินเศรษฐกิจโลกยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายระยะสั้น ทั้งจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง แต่ยังมีความหวังว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ดีในระยะยาว แนะกลยุทธ์ปรับพอร์ตรับมือความท้าทายและรอคว้าโอกาสที่กำลังจะมาถึง ชูกองทุนผสมแบบ Risk-Based และสินทรัพย์ทางเลือกโดยเฉพาะสินทรัพย์นอกตลาด ทั้งหุ้นนอกตลาด ตราสารหนี้นอกตลาด และอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับโจทย์ในระยะกลางถึงยาว แต่สถานการณ์ด้านการเมืองในประเทศ อาจส่งผลให้รัฐบาลต้องให้น้ำหนักไปที่โจทย์เฉพาะหน้ามากกว่า คงตัวเลข GDP ไทยปีนี้อยู่ที่ 3.7%
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ครึ่งแรกของปี 2566 กำลังจะผ่านไป พบว่าเป็นอีกปีที่แวดวงการลงทุนต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจทั่วโลก ภาวะเงินเฟ้อที่แม้จะอยู่ในขาลง แต่ก็ยังไปไม่ถึงเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรป รวมไปถึงเรื่องดอกเบี้ยนโยบายที่ยังไม่แน่นอนว่าผ่านจุดสูงสุด ไปหรือยัง ความท้าทายเหล่านี้ ล้วนส่งผลต่อสถานการณ์ของตลาดการลงทุนในปัจจุบันให้มีความผันผวนสูง ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นอย่างหนัก นอกจากนี้ ผลการประชุมของธนาคารกลางประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจต่างๆ ทั่วโลก อย่าง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.0 – 5.25% ตามตลาดคาด แต่คาดว่าอาจมีโอกาสปรับขึ้นอีก 1-2 ครั้งภายในปีนี้ แสดงให้เห็นว่า “หยุดชั่วคราว” แต่ยัง “ไม่สิ้นสุด” ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็นการปรับขึ้นติดต่อกันครั้งที่ 8 ในขณะที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย เหนือความคาดหมายของตลาด เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่านโยบายการเงินที่แตกต่างมีผลต่อความเคลื่อนไหวตลาดที่ทำให้นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ดร.เชาว์ เก่งชน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับประเด็นเชิงโครงสร้าง หรือโจทย์ในระยะกลางถึงยาว เช่น ในอีก 8 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจำนวนกว่าร้อยละ 20 จะมีอายุไม่ต่ำกว่า 65 ปี ซึ่งการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจะส่งผลกระทบทั้งต่อตลาดแรงงาน การบริโภคของครัวเรือน และฐานะการคลังของรัฐบาล นอกจากนี้ ความคืบหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ของไทยก็ล่าช้ากว่าที่ได้สัญญาไว้ ในขณะที่ประเทศไทยเอง ก็ถูกประเมินว่าเป็นหนึ่งในบรรดาประเทศ ที่จะได้กระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศของโลกมากที่สุด โดยในกรณีดีสุด หากอุณภูมิโลกเพิ่มต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส ผลกระทบสะสมต่อ GDP ไทยคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 4.9 ภายในปี 2591 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ด้านการเมืองในประเทศ อาจส่งผลให้รัฐบาลต้องให้น้ำหนักไปที่โจทย์เฉพาะหน้า เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การปรับลดค่าไฟฟ้า การอัดฉีดเงินโดยตรงแก่ประชาชน การแก้ไขหนี้ครัวเรือน การให้ความช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี มากกว่าการแก้ไขประเด็นเชิงโครงสร้างต่าง ๆ เช่น การปรับขึ้นภาษี การต่อต้านการผูกขาด นอกจากนี้ การขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบต่อยอดหนี้สาธารณะของรัฐบาล รวมไปถึงการจัดทำงบประมาณในอนาคตข้างหน้า ในขณะที่การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนตามแนวทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทยวางไว้ คงจะช่วยบรรเทาปัญหาได้ในระดับหนึ่ง แต่ในที่สุดแล้ว การแก้ปัญหาคงจะหนีไม่พ้นการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 2566 อยู่ที่ 3.7% สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลกในครึ่งหลังของปี 2566 Lombard Odier ได้ให้มุมมองว่าเศรษฐกิจโลกจะยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในระยะสั้นจากการเติบโตของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอลง และมีความคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ดีในระยะยาว ดังนี้
- การเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกและอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงในปี 2566 และ 2567 โดยแรงขับเคลื่อนส่วนหนึ่งมาจากมาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุนและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในปี 2566 และ 2567 เนื่องจากการกู้ยืมทำได้ยากขึ้น
- อัตราดอกเบี้ยกำลังถึงจุดสูงสุด ในสหรัฐฯ และยูโรโซน โดยคาดว่ามีโอกาสน้อยที่ดอกเบี้ยจะปรับขึ้นต่ออย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าธนาคารกลางต่างๆ จะคงดอกเบี้ยไว้ระยะหนึ่งในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากตลาดแรงงานยังอยู่ในเกณฑ์แข็งแกร่งเกินกว่าที่ธนาคารกลางจะผ่อนคลายนโยบายการเงินได้ แม้ว่าล่าสุดจะส่งสัญญาณอ่อนตัวลงมาบ้าง
- การบริโภคภายในประเทศของจีนฟื้นตัวได้ดี ในขณะที่ภาคการลงทุนและยอดการปล่อยสินเชื่อชะลอตัวลงทาง Lombard Odier มองว่าทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังจากที่ธนาคารกลาง (PBoC) ปรับลดดอกเบี้ยลง เช่น การผ่อนปรนกฎระเบียบในการกำกับดูแลภาคธุรกิจ ดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เพื่อให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง
Lombard Odier จึงได้แนะนำ 5 กลยุทธ์การลงทุนในครึ่งหลังของปี 2566 ดังนี้
- รักษาสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่โหมดชะลอตัว ทำให้คาดการณ์ว่าบอนด์ยีลด์กำลังผ่านจุดสูงสุดแล้ว
- เน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง หรือ Investment Grade ที่ความเสี่ยงต่ำกว่า เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และการผิดนัดชำระหนี้ที่สูงขึ้น
- มุ่งเน้นลงทุนในหุ้นประเทศพัฒนาแล้วนอกเหนือจากตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในเกณฑ์แพง และคาดว่าจะได้ประโยชน์จากการที่ FED หยุดขึ้นดอกเบี้ย
- กระจายลงทุนในหุ้นหลายประเทศทั่วโลก ลดการกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่ง
- กระจายลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่น โดยเฉพาะสินทรัพย์นอกตลาด (Private Assets) ซึ่งรวมถึงหุ้นนอกตลาด ตราสารหนี้นอกตลาด และอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด โดยในช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจเช่นนี้ถือเป็นโอกาสที่จะเข้าลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ในราคาที่น่าดึงดูด
นายจิรวัฒน์ กล่าวในตอนท้ายว่า เพื่อรับมือกับหลากหลายความท้าทายในปีนี้และรอคว้าโอกาสในการลงทุนที่กำลังจะมาถึง KBank Private Banking ในฐานะที่ปรึกษาด้านการลงทุนแนะนำ 3 กลยุทธ์การลงทุนสำคัญ สำหรับนักลงทุนที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการลงทุนได้จริง ได้แก่ (1) Stay Invested แนะนำให้นักลงทุนลงทุนตลอดเวลา การทำเช่นนี้จะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าการซื้อๆ ขายๆ หรือการทำ Market Timing (2) ยึดหลักการกระจายการลงทุน โดยใช้ความเสี่ยงของสินทรัพย์ หรือ Risk-based Allocation (3) Alternative Investments อย่างการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด ที่แม้ตลาดทุนจะผันผวนอย่างไร ราคาสินทรัพย์นอกตลาดจะไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากราคาของสินทรัพย์นอกตลาดจะขึ้นกับผลการดำเนินที่แท้จริง