อินโดฯเล็งจำกัดเงินสดปราบโกง
รัฐบาลอินโดนีเซียเสนอร่างกฎหมายต่อสภาเพื่อให้มีการจำกัดธุรกรรมการเงินที่ใช้เงินสด โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นการปราบปรามการให้สินบนและการฟอกเงินในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้อำนวยการองค์กรเฝ้าระวังที่ต่อต้านการฟอกเงินระบุ
โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งจะจำกัดการจ่ายเงินสดสูงสุดต่อครั้งอยู่ที่ 100 ล้านรูเปียห์ หรือราว 202,015 บาทเท่านั้น ถือเป็นความสำคัญลำดับแรกที่จะต้องมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้ Ki Agus Badaruddin ผู้อำนวยการศูนย์รายงานธุรกรรมการเงินและวิเคราะห์ ( PPATK) ระบุ และเสริมว่า เขาหวังว่ากฎหมายจะผ่านความเห็นชอบจากสภาในปีนี้
“ โดยพื้นฐานแล้ว จากการคาดคะเนของเรา การจำกัดการจ่ายเงินสดอย่างเข้มงวดมากขึ้นจะช่วยลดพื้นที่สำหรับคนที่ต้องการฟอกเงิน และให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้าย ” นาย Badaruddin กล่าวเมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า กฎหมายนี้จะมีการบังคับใข้และส่งผลกระทบอย่างไร
ทั้งนี้ 85% ของธุรกรรมการเงินในอินโดนีเซียเป็นเงินสด และเป็นเรื่องยากที่จะทำการแกะรอย ยากกว่าการทำธุรกรรมผ่านธนาคาร หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับรัฐบาลที่จะต่อสู้และปราบปรามปัญหาการฟอกเงิน คอร์รัปชัน และการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้ายในช่วงเวลาที่ผ่านมา
Badaruddin ให้สัมภาษณ์สื่อว่า PPATK ตรวจพบว่า มีการให้สินบนเพิ่มมากขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกรรมที่เป็นเงินสด
โดยทาง PPATK พบว่ามีธุรกรรมการเงินเป็นเงินสดต้องสงสัยมากกว่าพันครั้งที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นทั่วประเทศ ขณะที่มี 53 ธุรกรรมการเงินต้องสงสัยที่กระทำผ่านบริการอิเล็กทรอนิกส์ อ้างอิงจากรายงานของ Tempo.com
อินโดนีเซียมีกำหนดจะจัดการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและผู้ว่าการทั่วประเทศในเดือนมิ.ย.ที่จะถึงนี้ และในปีหน้า ประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก จะมีการเลือกตั้งระดับสภาและประธานาธิบดี
ทั้งนี้ ในระหว่างการเลือกตั้ง อินโดนีเซียต้องต่อสู้กับการทุจริตอย่างมากมายในหลายพื้นที่ เงินที่หวังผลประโยชน์ทางการเมืองแพร่กระจายไปทั่ว แม้จะมีความพยายามอย่างสูงจากรัฐบาลด้วยการจัดตั้งหน่วยงานต่อต้านและกำจัดการทุจริตแล้วก็ตาม.