รถไฟฟ้าสิงคโปร์ชนกัน
สิงคโปร์ระงับการเดินรถไฟฟ้าบางเส้นทางเพื่อตรวจสอบหลังจากเกิดเหตุรถไฟฟ้าชนกันเมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายสิบราย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต้องออกมาขอโทษทันที
โดยผู้โดยสารอย่างน้อย 29 รายได้รับบาดเจ็บหลังเกิดเหตุรถไฟฟ้าขบวนหนึ่งวิ่งเข้ามาชนรถไฟฟ้าอีกขบวนที่จอดอยู่เพื่อตรวจสอบความขัดข้องใกล้กับสถานีจูกุนทางตะวันตกของสิงคโปร์ สำนักงานการขนส่งทางบก ( LTA) ระบุว่า ซอฟต์แวร์เตือนให้หยุดรถเกิดขัดข้อง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นอุบัติเหตุครั้งใหญ่ครั้งที่ 2 ในรอบ 30 ปี
อุบัติเหตุครั้งล่าสุดก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณชนว่า ระบบรถไฟฟ้าของสิงคโปร์เกิดการขัดข้องบ่อยในช่วงไม่กี่ปีนี้ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมเรียกเหตุการณ์นี้ว่า ‘เป็นวันที่แย่มาก’ เขาได้แถลงการณ์ขอโทษต่อผู้โดยสาร และกล่าวว่าทางกระทรวงรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น อ้างอิงจากการรายงานของสื่อแชนแนลนิวส์เอเชีย
SMRT Corp. ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการรถไฟฟ้าสายที่ได้รับผลกระทบทวีตข้อความเมื่อเช้าวันที่ 16 พ.ย.ว่า จะขอระงับการให้บริการระหว่างสถานีจูกุน และทูแอสซึ่งเป็นสายตะวันออก – ตะวันตกเป็นการชั่วคราว ขณะที่รถไฟฟ้าสายสำคัญอื่นๆยังให้บริการตามปกติ โดยรัฐมนตรีคมนาคมแนะนำให้ SMRT และ LTA ระงับการให้บริการในเส้นทางนี้เพื่อให้ทาง Thales ซึ่งเป็นผู้ดูแลรถทำการตรวจเช็คระบบรถไฟฟ้าโดยละเอียด
อ้างอิงจากการรายงานของสื่อท้องถิ่นในสิงคโปร์ สาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุที่ทาง LTA แถลงข่าวที่สำนักงานใหญ่ของ SMRT เมื่อช่วงเย็นวันที่ 15 พ.ย.คือ
ระบบซอฟต์แวร์ป้องกันของรถไฟฟ้าขบวนแรกถูกถอดออกเมื่อเกิดการขัดข้องที่วงจร รถจึงจอดอยู่ที่สถานี
ระบบตรวจจับของรถไฟฟ้าขบวนที่ 2 กะระยะห่างของรถทั้งสองขบวนผิดพลาด จึงพุ่งเข้าชนรถไฟขบวนแรกที่จอดอยู้่ แทนที่จะเบรก
ทาง SMRT กำลังสอบสวนกรณีของคนขับที่ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินและเบรกรถได้ทันเวลา
ทั้งนี้ SMRT เป็นผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้า 2 สายที่เก่าแก่ที่สุดในสิงคโปร์ คือ สายเหนือ -ใต้ และ สายตะวันออก – ตะวันตก รวมถึงสายที่ใหม่กว่าคือสาย Circle
เหตุการณ์ที่รถไฟฟ้าสิงคโปร์ขัดข้องเลวร้ายที่สุดคือในเดือนธ.ค. ปี 2554 ซึ่งทำให้ผู้โดยสารมากกว่า 200,000 คนต้องเดินทางล่าช้าในสัปดาห์สุดท้ายก่อนช่วงวันหยุดเทศกาลคริสต์มาส ส่งผลทำให้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SMRT ในเวลานั้นต้องตัดสินใจลาออก และมีผลกระทบต่อเนื่องทำให้อดีตรัฐมนตรีคมนาคมซึ่งกำกับดูแลการขยายโครงข่ายรถสาธารณะต้องออกจากการเมืองไป.