ซูจีดึงนักลงทุนต่างชาติหลังสหรัฐฯ เลิกคว่ำบาตร
นางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐของเมียนมาได้ออกโรงแถลงนโยบายดึงนักลงทุนต่างชาติเมื่อวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยสัญญาว่าจะมีกรอบการทำงานและโอกาสที่ชัดเจนในภาคส่วนธุรกิจ
หลังจากสองสัปดาห์ที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐอเมริกาได้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรที่มีต่อเมียนมา
หลังจากเข้าสู่อำนาจในเดือน เม.ย.ปีนี้ นางซูจีถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการแต่งตั้งคณะทำงานในการอนุมัติโครงการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติล่าช้าเกินไป พิจารณาการก่อสร้างในเมืองใหญ่อย่างละเอียดถี่ถ้วนเกินไป และแผนการทางเศรษฐกิจที่ขาดรายละเอียด
และเมื่อรวมกับเหตุการณ์ที่เขย่าระบบการเมืองการปกครองของเมียนมาหลังการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในเมียนมาด้วยมูลค่าเพียง 380 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้นในช่วงเดือนเม.ย.- ก.ค. ลดลงมาจาก 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
ทั้งนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไปในเดือน ก.ย. เมื่อนางซูจีไปเยือนสหรัฐฯ ที่ซึ่งประธานาธิบดีโอบามาได้ประกาศเจตนาที่จะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่มีต่อเมียนมา ทำให้นางซูจีรีบผลักดันกฎหมายการลงทุนของต่างชาติและกฎระเบียบอื่นๆที่จำเป็น
“ รัฐบาลเมียนมารับรู้ถึงคำวิจารณ์จากสาธารณชนว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังชะลอตัว ” นางซูจีกล่าวในการประชุมกับผู้บริจาคชาวต่างชาติ นักการทูต และนักลงทุนในกรุงเนปิดอว์
“ ดิฉันต้องเน้นว่า รัฐบาลมีความกระหายที่จะให้กระบวนการต่างๆเดินหน้าโดยเร็วที่สุด เพราะการพัฒนาเศรษฐกิจจะช่วยให้เราสร้างสถาบันชาติที่เป็นประชาธิปไตยได้ ” ผู้นำของเมียนมาที่เคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพกล่าว
จากการมีส่วนสำคัญทางเศรษฐกิจในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา นางซูจีได้แสดงศักยภาพในการไปเยือนประเทศต่างๆอย่างมีคุณภาพ โดยได้ประชาสัมพันธ์ให้เมียนมาเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจในการลงทุนกับนักลงทุนจากจีน ไทย สหรัฐฯและอินเดีย โดยจะมีการเยือนญี่ปุ่นในช่วงต้นเดือนพ.ย.ที่จะถึงนี้
นายจ่อ วิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและพัฒนายังได้กล่าวในการประชุมด้วยว่า เขาต้องการเพิ่มความเชื่อมั่นให้นักลงทุนโดยการให้คำมั่นว่า จะให้ความเท่าเทียมเหมือนกับนักลงทุนในประเทศ และจะไม่มีการเรียกคืนกิจการหรือใบอนุญาตจากนักลงทุนโดยพลการอย่างเด็ดขาด
ที่ผ่านมา เมียนมาต้องพลาดโอกาสในการลงทุนจากต่างชาติจำนวนมาก เนื่องจากถูกปกครองอย่างเข้มงวดโดยรัฐบาลเผด็การทหาร ทำให้ล้าหลังในเรื่องถนนหนทาง สนามบิน และการเข้าถึงไฟฟ้า ซึ่งหมายความว่าการขยายตัวของอุตสาหกรรมในประเทศมีเพียงเล็กน้อย และตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือ จีดีพีของเมียนมาที่สูงถึง 8% นั้น มาจากการนำเข้าเป็นส่วนใหญ่
นี่จะช่วยเรื่องการขยายตัวทางการค้าให้กว้างขวางยิ่งขึ้นและช่วยลดตัวเลขขาดดุลงบประมาณที่กำลังส่งผลกดดันค่าเงินจ๊าดของเมียนมาในปัจจุบัน
“ เราจำเป็นต้องส่งเสริมการค้า โดยการเพิ่มตัวเลขส่งออกและลดการนำเข้า โดยการสร้างอุตสาหกรรมที่ทดแทนการนำเข้าได้ ” กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญที่จะพัฒนาการผลิตในประเทศผ่านทางผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคและการเงิน นอกจากนี้ เขายังสัญญาที่จะปราบปรามการลักลอบนำสินค้าข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมายเพื่อเลี่ยงภาษีอีกด้วย “ ปริมาณการค้าผิดกฎหมายมีจำนวนมากกว่าที่ถูกกฎหมายเสียอีก เราจะพยายามหยุดยั้งและกำจัดให้หมด ” นายจ่อ วินกล่าว