อินโดนีเซียผลักดันส่งออก
รัฐบาลอินโดนีเซียเร่งผลักดันให้อุตสาหกรรมในประเทศขยายตลาดไปสู่ภูมิภาคอาเซียน โดยอาศัยโอกาสที่ดีจากการรวมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในครั้งนี้
เมื่อวันที่ 2 พ.ย. นายริซาล ลัคมาน รัฐมนตรีช่วยประสานงานเศรษฐกิจเพื่อการร่วมมือทางการคลังระหว่างประเทศ ได้ให้ความเห็นว่า อุตสาหกรรมภายในประเทศมากมาย ต่างพอใจที่จะทำการตลาดอยู่แต่ในอินโดนีเซีย เพราะเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มากอยู่แล้ว เขากล่าวว่า “เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดของเรา เพราะการส่งออกของอินโดนีเซียจะทำให้เราพัฒนาไปได้ไกลกว่านั้นมาก” เขายังให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า AEC จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจมากมายของอินโดนีเซีย มีตลาดในการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน ตัวเลขการส่งออกของอินโดนีเซียมีสัดส่วนเพียง 24% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขณะที่การส่งออกของมาเลเซีย และสิงคโปร์มีสัดส่วนกับตัวเลขจีดีพี ถึง 60% และ 70% ตามลำดับ
นายริซาล กล่าวเพิ่มว่า “สัดส่วนการส่งออก เมื่อเทียบกับตัวเลขจีดีพีของอินโดนีเซีย นับว่าต่ำอยู่มาก ผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมของเราล้วนมุ่งไปที่การบริโภคภายในประเทศเท่านั้น เวลานี้นับเป็นโอกาสที่ดีของเราที่จะขยายการส่งออกสินค้าไปทั่วภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลก”
นายริซาล ยังกล่าวต่อไปว่า อินโดนีเซียควรใช้ข้อได้เปรียบของราคาที่ต่ำกว่าของสินค้าอุปโภคพื้นฐาน เพื่อเพิ่มกำลังในการผลิตเพื่อส่งออก
นอกจากนี้ เราควรจะเพิ่มสินค้าที่มีมูลค่า เข้าไปแทนที่สินค้าอุปโภคพื้นฐานด้วยในอนาคต
เวียดนามเป็นประเทศคู่แข่งที่สำคัญของอินโดนีเซียในตลาดเออีซี เนื่องจากทั้งสองประเทศมีความเหมือนกันของดัชนีผลิตภัณฑ์เกือบ 50% ขณะที่ความเหมือนกันของดัชนีผลิตภัณฑ์จากประเทศมาเลเซียกับสิงคโปร์ เมื่อเทียบเคียงกับอินโดนีเซีย มีเพียง 20%และ 30% ตามลำดับ
นายริซาลกล่าวว่า “เวียดนามมีสินค้าอุตสาหกรรมเหมือนอินโดนีเซียค่อนข้างมาก เช่น สิ่งทอและรองเท้า”
จากความเห็นของรมว.ท่านนี้ เวียดนามสามารถทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีปลอดภาษีกับบางประเทศ หลังจากที่เวียดนามได้เข้าเป็นสมาชิกของหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย- แปซิฟิก (TPP)
เขามีความเห็นเพิ่มเติมว่า “ทั้งอินโดนีเซียและเวียดนามต่างก็ส่งออกสิ่งทอไปสหรัฐฯ หลังจากเข้าร่วมทีพีพี ในขณะที่เวียดนามได้รับการยกเว้นภาษี แต่อินโดนีเซียยังต้องจ่ายภาษีอยู่ ทำให้สินค้าของเราเสียเปรียบในการแข่งขันมาก”