จีนกำจัดสายลับสหรัฐฯแล้วอย่างน้อย 12 ราย
เดอะ นิวยอร์กไทมส์รายงานเมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่่ผ่านมาว่า ทางการปักกิ่งตัดตอน ซีไอเอ หรือ หน่วยสืบสวนสหรัฐฯภายในจีนนับตั้งแต่ต้นปี 2553 โดยมีทั้งการฆาตกรรม หรือการคุมขังหน่วยสืบสวนลับหลายราย
เดอะ ไทมส์ นำบทสัมภาษณ์ของทั้งอดีตเจ้าหน้าที่อเมริกันและที่ยังประจำตำแหน่งในปัจจุบัน แต่ไม่ประสงค์ออกนาม 10 รายมาตีพิมพ์ โดยทั้งหมดกล่าวว่าการกวาดล้างเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่มีความสามารถของจีนถือว่าเป็นการกระทำที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
บทสัมภาษณ์กล่าวว่า ยังไม่สามารถระบุได้ว่าตอนนี้เจ้าหน้าที่ซีไอเอที่ทำหน้าที่อยู่ในประเทศจีนจะกำลังทรยศประเทศสหรัฐฯ อยู่ หรือจะถูกจีนเจาะระบบสายสืบลับของซีไอเอเพื่อใช้สื่อสารกับแหล่งข่าวต่างประเทศ
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น สร้างความเสียหายให้กับสายสืบซีไอเอที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ว่าเจ้าหน้าที่ซีไอเอจำนวนมากถูกฆาตกรรมระหว่างปี 2553 -2555 มีความเป็นไปได้สูงมาก โดยมีหลักฐานจากเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ซีไอเอถูกยิงต่อผู้ร่วมงานเพื่อเป็นการขู่ไม่ให้มีการสอดแนมเกิดขึ้น
อ้างอิงจากอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อาวุโส 2 ราย กล่าวว่า เจ้าหน้าที่กว่า 18 ราย จาก 20 ราย ที่ประจำตำแหน่งในจีนถูกฆาตกรรมหรือคุมขัง ถือว่าเป็นการสูญเสียที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่ที่ทั้งเจ้าหน้าที่สองเคยปฏิบัติหน้าที่มา
การสูญเสียของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ถือว่าใกล้เคียงกับเหตุการณ์การถูกหักหลังโดยเจ้าหน้าที่ซีไอเอซึ่งผันตัวเป็นสายลับให้กับสหภาพโซเวียตและรัสเซีย โดยนายอัลดริช เอมส์ และโรเบิร์ต แฮนส์เซน
ทางหน่วยสืบราชการลับของชาติตะวันตกพบว่าการจะเข้าสอดแนมประเทศจีนและรัสเซีย ถือว่าเป็นเรื่องยากมากจนแทบเป็นไปไม่ได้
การล่าตัวเจ้าหน้าที่ซีไอเอผู้ทรยศในประเทศจีน ถือว่าเป็นไปอย่างตึงเครียดและรวดเร็ว ทำให้เจ้าหน้าที่เกือบทุกรายในสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในกรุงปักกิ่งต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียด
ในขณะเดียวกัน นายบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกกังขาว่าในสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งและบริหารประเทศ ทำไมข่าวกรองจากประเทศจีนถึงน้อยลง
การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เป็นผลมาจากเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่เข้าตรวจสอบข้อมูลประเด็นละเอียดอ่อน ซึ่งถูกปล่อยมาในเว็บไซต์ WikiLeaks เมื่อเดือน มี.ค. ทำให้เจ้าหน้าที่เอฟบีไอเข้าตรวจสอบหาความเกี่ยวข้องระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ และประเทศรัสเซีย ทั้งนี้ ทางด้านซีไอเอและเอฟบีไอ ยังไม่ขอออกความเห็นใดๆ.