เงินนอกทะลักเข้าตลาดหุ้นเงินทุนต่างชาติไหล
เงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดทุนไทยต่อเนื่องล่าสุด 15 วันซื้อสุทธิ 2.2 หมื่นล้านบาทขณะที่ครึ่งปีแรก
มูลค่ารวม 5.82 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ดัชนีแตะนิวไฮรอบ 1ปี6เดือน ล่าสุดนักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นไทยจ่อทยอยปรับเป้าดัชนีหุ้นสิ้นปีนี้ ประเมินว่ามีโอกาสขึ้นไปถึงระดับ 1,600 จุด
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่ากระแสเงินทุนต่างชาติไหลทะลักเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 1-15 ก.ค.ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อหุ้นสุทธิอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในช่วง 6 เดือนแรก มียอดซื้อสุทธิสูงถึง 5.8 หมื่นล้านบาท โดยล่าสุด ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 1497 จุด ก่อนมาปิดซื้อขายที่ 1,492.00 จุด ซึ่งยังเป็นระดับสูงสุดรอบครึ่งแรกของปีนี้
ปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการและผู้จัดการ บล. ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) ประเมินว่า บริษัทมีแผนปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้จากเดิมที่คาดไว้ 1,550 จุด เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีมาก โดยเฉพาะกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะส่วนตัวประเมินว่านักลงทุนสถาบันต่างชาติไม่สนใจในเรื่องการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังเป็นที่พูดถึงในประเทศมากนัก แต่จะให้น้ำหนักเรื่องนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยมากกว่า เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน, การลงทุนร่วมระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) หรือมาตรการภาษีกระตุ้นการลงทุน
“ผลประชามติคงไม่มีผลต่อตลาดทุนมากนัก โดยหากมติร่างรัฐธรรมนูญผ่านถือว่าเป็นโบนัส แต่หากไม่ผ่านผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจคงเป็นเรื่องความเชื่อมั่น และจะเกิดช่องว่างให้ประเทศที่เหมือนเป็นคู่ค้าคู่แข่งจะใช้ประเด็นนี้เพื่อสร้างจุดอ่อนให้ไทยได้”
เกาะติดผลประชามติร่างรัฐธรรมนูญ
วิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ กล่าวว่า หลัง Brexit ทำให้ตลาดไทยกลับมาคึกคัก ช่วงครึ่งปีหลังดัชนีอาจขึ้นไปถึง 1,530-1,580 จุด จากเงินทุนไหลเข้าอีก 30,000-60,000 ล้านบาท โดยต้องจับตาการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ จึงแนะนำให้เลือกลงทุนหุ้นรายตัว และหลีกเลี่ยงหุ้นที่เกี่ยวกับพลังงาน เนื่องจากราคาน้ำมันจะกลับมาเป็นขาลง
อิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ ให้ความเห็นว่า หุ้นไทยครึ่งปีหลังจะถูกขับเคลื่อนด้วยเงินทุนต่างชาติเป็นหลัก และจะช่วยผลักดันหุ้นไทยขึ้นไปที่ 1,550 – 1,600 จุดได้ แนะนำลงทุนหุ้นที่อิงการเติบโตในประเทศ ทั้งกลุ่มค้าปลีก กลุ่มสินค้าเกษตรและกลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
ระวังเงินเก็งกำไรระยะสั้น
ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง มองว่ามองกระแสเงินทุนที่เข้ามายังประเทศไทยขณะนี้ เป็นเงินที่เข้ามาเก็งกำไรในระยะสั้นเท่านั้น เป็นผลจากการออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลก นักลงทุนโยกย้ายสินทรัพย์ไปยังตลาดตราสารหนี้ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรทั่วโลกทยอยปรับตัวลดลง เงินจึงไหลออกไปลงทุนในตลาดหุ้น ส่งผลให้มีเงินไหลเข้ามายังตลาดอาเซียน (AEC) มากขึ้น รวมถึงไทย
ตั้งแต่ต้นปีมีเงินไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทยแล้วกว่า 1.4 แสนล้านบาท และเข้ามาตลาดหุ้นเกือบ 6หมื่นล้านบาท โดยตลาดหุ้นไทยมีเงินปันผลอยู่ที่ 3.2% อยู่ในระดับต้นของตลาดหุ้นในเอเชียผลจากการเงินทุนไหลเข้า อาจทำให้ดัชนีฯปรับตัวขึ้นถึง 1,600 จุด ที่ค่า P/E ระดับ 17 เท่าได้
โดยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย มองเป้าหมายดัชนีฯ อยู่ที่ 1440 จุด ที่ P/E 15 เท่า โดยตลาดหุ้นมีดาวน์ไซด์ที่ 1330 จุด เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจยังไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก จากกำลังซื้อที่ฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในขณะที่การส่งออกยังหดตัว
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 ของบริษัทจดทะเบียนคาดว่าทรงตัวหรือปรับลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/59 จากหุ้นกลุ่มที่อิงบริโภคยังฟื้นตัวช้าอยู่ ในขณะที่กลุ่มพลังงานและกลุ่มโรงกลั่น รับผลกระทบจากค่าการกลั่นที่ลดลงมาอยู่ระดับ 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จาก 8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงต้นปี
ส่วนไตรมาส 3/59 คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ที่จะสร้างความมั่นใจให้ภาคเอกชนลงทุนเพิ่ม
ขณะที่ทั้งปี 2559 คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโต 36% โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน ซึ่งปีนี้คาดว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 50 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทั้งโรงแรม และอาหาร จะมีผลประกอบการที่เติบโตอย่างโดดเด่น ในส่วนของกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะเติบโตได้ดีขึ้น หลังมีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดจากหนี้เสีย (NPL) ได้ดี
ฝ่ายวิจัย แนะนำเข้าลงทุนกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนและการบริโภคในประเทศ คือ กลุ่มแบงก์ที่ปัจจุบันยังมี P/E เพียง 10 เท่า โดยมีหุ้นเด่น คือ SCB กลุ่มเช่าซื้อ มีหุ้นเด่นคือ TISCO และ KKP กลุ่มค้าปลีก มีหุ้นเด่น คือ CPALL และ CPN ขณะที่กลุ่มรับเหมาก่อสร้างแนะนำให้ติดตามทั้งกลุ่ม
กองทุนเชื่อเงินลงทุนรัฐกระตุ้น
นาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นไทย ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและการคาดการณ์ของตลาดว่า Fed น่าจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ โดยตั้งแต่ต้นปีดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นกว่า 12%
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในครึ่งปีหลัง บลจ.กสิกรไทยยังมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับผลกระทบจากเหตุการณ์ Brexit มีค่อนข้างจำกัด ส่งผลให้การลงทุนในหุ้นยังมีความน่าสนใจมากกว่าเมื่อเทียบกับตราสารหนี้
นอกจากนี้แม้ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Index) ในปัจจุบันจะไม่ถูกมากนักเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต แต่ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ตามคาด จะส่งผลดีต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีโอกาสเติบโตขึ้นในระยะข้างหน้า
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2559 ที่ระดับ 1,500 จุด โดยปัจจัยหนุนคาดว่าจะมาจากการบริโภคในประเทศที่เริ่มมีการฟื้นตัวดีขึ้น และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังซึ่งเป็นผลมาจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเพิ่มเติมในช่วงกลางปี
รวมถึงความคืบหน้าด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะเริ่มส่งผลชัดเจนขึ้น ขณะที่ปัญหาภาวะภัยแล้งสิ้นสุดลง นอกจากนี้สภาพคล่องในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับสูงจากการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกยังเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการลงทุนในหุ้น.