นานาชาติเร่งช่วยเหลือเลบานอนหลังเหตุระเบิด
เมื่อวันที่ 7 ส.ค. สหรัฐฯระบุว่าจะส่งความช่วยเหลือทันทีด้านอาหารและการแพทย์กว่า 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปให้เลบานอนหลังเกิดเหตุระเบิดครั้งประวัติศาสตร์ที่ท่าเรือในกรุงเบรุต เมืองหลวงของเลบานอน
โดยทางกองทัพสหรัฐฯ จะจัดส่งความช่วยเหลือไปให้ เป็นอาหารเพียงพอสำหรับ 50,000 คนและเวชภัณฑ์เพียงพอสำหรับ 60,000 คน และความช่วยเหลือทางการเงิน จากถ้อยแถลงของ US Agency for International Development
สหภาพยุโรปประกาศจะให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินจำนวน 33 ล้านยูโรกับเลบานอนเพื่อให้ครอบคลุมบริการฉุกเฉินและโรงพยาบาลในกรุงเบรุต นอกจากนี้ ยังระบุว่าจะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมเป็นกองทุนเพื่อการก่อสร้างฟื้นฟูเมืองที่พังราบขึ้นมาใหม่
ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงแห่งฝรั่งเศสเสนอความช่วยเหลือจากฝรั่งเศสให้ประชาชนชาวเลบอนอนขณะเดินทางไปเยือนกรุงเบรุต แต่ให้ความเห็นว่า วิกฤตในเลบานอนจะยิ่งแย่ลง หากผู้นำไม่ปฏิรูปประเทศ
ขณะที่ชาร์ลส์ มิเชล ประธานสภายุโรป ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้นำอียู จะเดินทางไปกรุงเบรุตในวันที่ 8 ส.ค. และพร้อมจะให้ความช่วยเหลือชาวเลบานอนหลังเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ โดยเขาทวีตว่า “ตกใจและเสียใจมาก เรายืนหยัดเคียงข้างทุกคนที่ได้รับผลกระทบและจะจัดความช่วยเหลือให้” และประกาศว่าจะมีการระชุมกับประธานาธิบดีมิเชล อาอูน และนายกรัฐมนตรีฮัสซัน ดิอับ
องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เสนอความช่วยเหลือจำนวน 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯให้ครอบคลุมความต้องการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในเลบานอน โดยเหตุระเบิดทำลาย 17 ตู้คอนเทนเนอร์ที่เก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์ของ WHO รวมทั้งอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลด้วย
ฮามัด ฮัสซัน รมว.สาธารณสุขเลบานอนระบุว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 154 รายในการระเบิดที่โกดังท่าเรือครั้งนี้ และมีผู้บาดเจ็บอีก 5,000 ราย แต่คาดการณ์ว่าตัวเลขจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากยังคงมีปฏิบัติการค้นหาและกู้ชีพผู้สูญหายอย่างต่อเนื่อง
ในวันที่ 7 ส.ค.มีประชาชนอย่างน้อย 58,000 คนที่ลงชื่อในคำร้องออนไลน์ที่จัดทำโดยพลเมืองเลบานอนเมื่อวันที่ 5 ส.ค. เพื่อขอให้เลบานอนกลับไปอยู่ใต้การปกครองของฝรั่งเศสไปอีก 10 ปี
“ เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลเลบานอนไร้ความสามารถโดยสิ้นเชิงในการปกป้องและจัดการประเทศ” คำร้องระบุ “ โดยระบบการปกครองที่ล้มเหลว การทุจริต การก่อการร้าย และกองกำลังกึ่งทหารของประเทศดำเนินมาถึงจุดที่เป็นเหมือนลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว”
“ เราเชื่อว่าเลบานอนควรกลับไปอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสเพื่อสร้างธรรมาภิบาลที่โปร่งใสและยั่งยืน”
คำร้องนี้สอดคล้องกับรายงานข่าวที่ประชาชนชาวเลบานอนจำนวนมากต่างเข้ารุมล้อมและโผเข้ากอดประธานาธิบดีมาครงในวันที่เขามาเยือนกรุงเบรุต หลายคนอ้อนวอนขอให้ฝรั่งเศสกลับมาปกครองเลบานอนอีก
ขณะที่หญิงเลบานอนคนหนึ่งให้สัมภาษณ์สื่อว่า “ ความโกรธของเราจะหยุดก็ต่อเมื่อเราเห็นพวกจัญไรติดคุก”
อย่างไรก็ตาม พลเมืองกลุ่มอื่นกล่าวประณามคำร้องว่าเป็นเครื่องมือที่จะทำให้ประเทศตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอีก
ก่อนหน้านี้ ในช่วงกลางคืนของวันที่ 6 ส.ค. มีการประท้วงของชาวเลบานอนที่ไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ต้องใช้แก๊สน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุม