สหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น
สหรัฐอเมริกาขาดดุลงบประมาณสูงถึง 587,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับปีงบประมาณ 2559 เนื่องจากรายได้ชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์และมีการใช้จ่ายสูงขึ้นในโครงการประกันสังคมและสาธารณสุข
อ้างอิงจากข้อมูลของกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา
โดยตัวเลขขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ปี 2559 เพิ่มขึ้นถึง 3.2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพี
นี่เป็นครั้งแรกที่ตัวเลขขาดดุลเพิ่มขึ้นจากผลผลิตทางเศรษฐกิจนับตั้งแต่ปี 2552 อ้างอิงจากตัวเลขของสำนักงบประมาณประจำรัฐสภา โดยในปี 2552 นั้น ตัวเลขขาดดุลงบประมาณพุ่งสูงถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางวิกฤติการเงิน
ในปี 2558 สหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณ 439,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีอยู่ที่ 2.5% โดยในปี 2559 ตัวเลขขาดดุลงบประมาณอยู่ที่ 548,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
รายได้ของปี 2559 เพิ่มขึ้น 1% ไปอยู่ที่ 3.267 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 5% อยู่ที่ 3.854 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ การขยายตัวของรายได้ลดลงจากการขยายผลย้อนหลังของการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลและภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกฎหมายที่ผ่านสภาคองเกรส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายปกป้องชาวอเมริกันจากการขึ้นภาษี (PATH) ในช่วงปลายปีที่แล้ว อ้างอิงจากกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ
โดยค่าใช้จ่ายด้านประกันสังคมและสุขภาพ เงินเกษียณอายุและโครงการดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุล้วนแต่เพิ่มขึ้นทุกรายการ
ในเดือนก.ย. กระทรวงการคลังโพสต์แสดงถึงตัวเลขเกินดุลงบประมาณสูงถึง 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 63% จากเดือนเดียวกันของปี 2558
โพลล์ของนักวิเคราะห์จากรอยเตอร์ได้คาดการณ์ว่า สหรัฐฯ จะมีตัวเลขเกินดุล 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับเดือนก.ย.
โดยบัญชีตามการปรับปฏิทินในเดือนก.ย.แสดงให้เห็นถึงการเกินดุล 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเปรียบเทียบการเกินดุล 91,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนเดียวกันของปี 2558
รายรับของเดือนก.ย.โดยรวมอยู่ที่ 357,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นการลดลง 2% เมื่อเทียบกับเดือนก.ย.ในปี 2558 ขณะที่รายจ่ายอยู่ที่ 323,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 18% จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว
สำนักงบประมาณประจำรัฐสภาที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้ออกมาเตือนซ้ำว่า ระดับหนี้ส่วนกลางที่เพิ่มขึ้นจะไม่คงที่ในระยะยาว ถึงแม้สภาคองเกรสจะได้มีการปรับเปลี่ยนกฎหมายในปัจจุบัน.
หมายเหตุ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ = 35.40 บาท / 15 ต.ค.2559