ประยุทธ์ การ์ดตก น้ำผึ้งหยดเดียว ล้มรัฐบาล ?
การติดเชื้อของ “ทหารอียิปต์” กลางสนามบินอู่ตะเภา และ “วีไอพี” ของคณะทูตซูดาน สุขุมวิท กรุงเทพมหานาคร กำลังจะกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ล้มรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี-ผู้อำนวยการศูนย์โควิด-19
14 วันอันตราย-ระยะบ่มเชื้อหลังจากนี้ หากมี “คนไทย” ที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ติดเชื้อในบริเวณโรงแรมดีวารี -ห้างสรรพสินค้าแหลมทองใน จ.ระยอง และย่านธุรกิจ-กลางเมือง จนเกิดการระบาด “ระลอกสอง”
เสียงเรียกหาความรับผิดชอบจะดั่งกระหึ่ม-ยกระดับ ไปถึงตึกไทยคูฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ถึงขั้น “รัฐบาลออกไป”
แม้ “คนในรัฐบาล” จะออกมาแสดงความรับผิดชอบ-เอ่ยคำขอโทษ ไม่ว่าจะเป็น “หมอทวีศิลป์” โฆษกศบค. ที่เป็น “หนังหน้าไฟ” และ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ “ผู้นำรัฐบาล”
การ “เด้งฟ้าผ่า” ของ “สุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ” พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ไปดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม
รวมถึงการลงพื้นที่ของ “สาธิต ปิตุเตชะ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข – ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ “เจ้าของพื้นที่” ทว่ากระแส “ความไม่พอใจ” ของสังคม-รัฐบาล “การ์ดตก” เสียเอง ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง-ดังขึ้นเรื่อยๆ
กรณี “ผู้ว่าระยอง” แม้จะมีการปฏิเสธออกมาว่า เป็นการโยกย้าย “ตามวงรอบ” ไม่เกี่ยวกับการความบกพร่อง-หละหลวมจนปล่อยให้ทหารอียิปต์ที่มีเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้ามาภายในจังหวัด
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นความบังเอิญที่จงใจ-เร็วกว่ากำหนดโยกย้ายเดิม ที่ปกติจะโยกย้ายรายเดือนสิงหาคม-กันยายน อย่างไรก็ตามมีเสียงซุบซิบในคณะรัฐมนตรีว่า “มาถูกเวลา”
ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ “บินด่วน” ลงพื้นที่-จุดเกิดเหตุ จ.ระยอง เพื่อขอโทษชาวบ้าน-ร้านตลาด ที่ส่งเสียงก่นด่ามาถึงทำเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นขวัญและกำลัง-ขอแก้ตัว
การแก้ปัญหาโควิด-19 ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์-ศบค. ได้รับ “คำชม” เป็นอย่างมาก หลังจาก “ตั้งการ์ดสูง” สามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศให้เป็นศูนย์ได้ถึง 45 วัน
ประกอบการการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจาก “ยาแรง” มาตรการ “ล็อกดาวน์” ภายใต้การประกาศใช้ “กฎหมายพิเศษ” พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ถึง 4 ครั้ง
ในทางการเมือง “รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์” กำลังจะ “สะดุดขาตัวเอง” จากความหละหลวม “เฉพาะตัว” และกำลังจะกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” บั่นทอน “แต้มต่อ” และ “คะแนนนิยม” ทางการเมือง
ในทางเศรษฐกิจ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ กำลังจะต้อง “แบกรับภาระหนี้” การกูเงินระยะที่สอง จากการทุ่มเททรัพยากร กำลังคน-กำลังทรัพย์ อีกจำนวนมหาศาลหากมีการระบาดระลอกที่สอง หลังจากออกพ.ร.ก.เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท
“ธีรยุทธ บุญมี” นักวิชาการ “เสื้อกั๊ก” กล่าวในงานเสวนา POST COVID-19 กับอนาคตสังคมไทย ที่มหาวิทยาลัยรังสิต มองทะลุ ว่า หากความไว้ใจของรัฐบาลลดลงเมื่อไหร่ จะลุกลามไปสู่ความไว้วางใจทางการเมือง
“ปัญหาโควิด-19 ทำให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกันในการแก้ปัญหา โดยเอาชีวิตตัวเอง ความทุกข์ยาก เอาเศรษฐกิจ อาชีพ รายได้ของตัวเองเป็นเดิมพัน เพราะฉะนั้น มันเป็นความไว้วางใจกันอย่างสูง เป็น Trust”
“ความไว้วางใจสำคัญมากในการแก้ปัญหาต่างๆ เป็น Trust สูงสุด เป็น Trust ที่ฝากไว้ด้วยชีวิต Trust ที่ศบค.ได้มา Trust ที่รัฐบาลได้มา มีค่าเป็นอย่างสูง คนทุ่มเทให้ เป็นเรื่องที่ลำบากที่จะสร้างขึ้นมาได้ ไม่อยากให้เสียไป”
“ความเชื่อใจกันเกิดจากหลายปัจจัย ที่จะเกิดขึ้นกับบุคคล คณะบุคคลที่อยู่ในองค์กรนั้น ๆ การแก้ปัญหาโควิด-19 ก็คือ ศบค. ได้รับความไว้วางใจสูง”
“ความไว้วางใจเป็นขุมทรัพย์มหาศาล จนสามารถแก้ปัญหาได้ดี อย่าทิ้งกว้างมัน รักษาไว้ และเอาไปใช้ในทางที่ถูก เป็นคุณต่อไปเรื่อย ๆ”
“เรื่องอะไรที่คนชื่นชม สรรเสริญเยอะ ๆ มันพลิกกลับได้มาก เป็นเรื่องยากของคนปฏิบัติ ถ้าผมอยู่ฝ่ายความมั่นคง อยู่กระทรวงต่างประเทศ การมี 2 กรณีเกิดขึ้น เหมือนพกระบาดที่จะทำให้เกิดความเสียหาย ตอนนี้อาจจะแค่พันล้าน แต่ต่อไปอาจจะเป็นหมื่นล้าน เป็นแสนล้าน ความโกรธมันอาจจะเกิดการปะทุขึ้นมา”
หลังจากนี้จึงเป็น 14 วันอันตรายของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์