เก้าอี้รัฐมนตรี สมคิด – 4 กุมาร ในมือ ประยุทธ์
การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประยุทธ์ 2/2 กลับไม่ได้-ไปไม่ถึง “ติดล็อค” ก๊วน 4 กุมาร – นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาทางใจ
ถึงแม้ว่า อดีตรัฐมนตรี 4 กุมาร จะประกาศตัดขาด-ลาออกจากการทุกตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ขณะเดียวกันได้โยน “แรงกดดัน” ไปที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ขณะที่ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เปิดใจทั้งในที่ลับ-ในที่แจ้ง “พร้อมไปนานแล้ว” แต่ “คำสั่งสุดท้าย” เป็นอำนาจตัดสินใจของ “พล.อ.ประยุทธ์” แต่เพียงผู้เดียว
“สมคิด” เรียนรู้เคล็ดวิชา “พ้นภัย” จากการเป็น “เบอร์สอง” ตั้งแต่สมัยเป็น “ขุนพลเศรษฐกิจ” ใน “รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร” มาจนถึงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 2 เพื่อไม่ให้ทาบรัศมีเบอร์ 1
เขาจึงเลือกที่จะเป็นลมใต้ปีก-เบอร์สอง จาก “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทุกครั้งที่นักข่าวถามเรื่องเศรษฐกิจ เขาจึงลดบทบาทให้ไปถามพล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม แม้นายสมคิด – อดีตรัฐมนตรี 4 กุมาร จะโยนแรงกดดันไปที่ “พล.อ.ประยุทธ์” แบกไว้แต่เพียงผู้เดียว ทว่านายสมคิด- 3 รัฐมนตรี กลุ่ม 4 กุมาร ยังคงต้องตอบคำถาม “ทัพนักข่าว” ถึงการตัดสินใจลาออกนับจากนี้จนวันสุดท้าย
รวมถึงแรงเขย่าจากลูกหาบ-ลิ่วล้อในพรรคพลังประชารัฐที่ยังคงจองเวร-จองกรรม เพราะต้องการให้ลุกออกจากเก้าอี้รัฐมนตรี เพื่อสานฝันการเป็นรัฐมนตรีให้ “หัวหน้ามุ้ง” ที่รอต่อคิว ทั้ง อนุชา นาคาศัย-สุชาติ ชมกลิ่น-นฤมล ภิญโญสินวัตร
โดยเฉพาะเก้าอี้กระทรวงพลังงาน-ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า ของ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน-แกนนำ 4 กุมาร ที่ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม-แกนนำกลุ่มสามมิตร “หมายปองอยู่”
หากพูดถึงความเป็นไปได้ของนายสมคิด- 3 รัฐมนตรี กลุ่ม 4 กุมาร ว่า “ใครจะได้ไปต่อ” ดูเหมือนว่า นายสมคิด กับ “อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง-แกนนำ 4 กุมารจะดูมีภาษีดีกว่า “สองกุมาร”
ไม่ว่าการประชุมคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจของพล.อ.ประยุทธ์ “สมคิด-อุตตม” จะ “แทรกตัว” เข้าไปนั่งอยู่ในวงล้อม “ว่าที่ทีมเศรษฐกิจ” ในครม.ประยุทธ์ 2/2 ได้อย่างไร
แต่ภาพที่เกิดขึ้นถูก “มโน” ขึ้นมาว่า การประชุมทีมเศรษฐกิจนอกระบบ-ในระบบ ของพล.อ.ประยุทธ์ ครั้งนี้ เป็นการ “ฟอร์มทีมเศรษฐกิจ” ของพล.อ.ประยุทธ์ ที่มีทั้ง “คนเก่า-คนใหม่” และ “คนใน-คนนอก”
แต่อย่าลืมว่าหากสมคิด-อุตตม ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัยพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 64 จะได้ไปต่อ ทำไมพล.อ.ประยุทธ์จึงต้องรอให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 ผ่านสภาวาระที่ 3 ราวเดือนกันยายนก่อนจึงค่อยปรับครม.
ฤารอเสร็จนาฆ่าโคถึก-เสร็จศึกฆ่าขุนพล และเพื่อ “ส่งไม้ต่อ” งานเศรษฐกิจของนายสมคิด-อุตตม ให้กับกุนซือเศรษฐกิจ ที่มีชื่ออยู่ในโผว่าที่หัวหน้า-ทีมเศรษฐกิจครม.ประยุทธ์ 2/2
ในรายของ “สนธิรัตน์” โอกาสได้ไปต่อ “ริบรี่” เพราะนั่งทับของร้อน-ทุกขลาภ อยู่ในกระทรวงที่งบประมาณน้อย แต่ขุมทรัพย์มหาศาล
ขณะที่ “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดูเหมือน “ปลงตก” ได้มากที่สุด หากต้องถูก “ปรับออก” เพราะเขาบันทึกประวัติศาสตร์ไว้แล้วว่า เป็น “ปฐมเสนาบดี” กระทรวงแห่งอนาคต
ดังนั้น เมื่อ 3 รัฐมนตรี กลุ่ม 4 กุมาร ลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เก้าอี้โควตาของพรรคพลังประชารัฐคง “ต้องคืนเขาไป” เหลือเพียงนายสมคิด-รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็น “โควตากลาง” ของพล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น
พล.อ.ประยุทธ์หลังจากนี้จึงต้องรับทั้งแรงกดดันจากนายสมคิด – กลุ่ม 4 กุมาร และแรงเขย่าจากเจ้าพ่อ-นักเลงโตในพรรคพลังประชารัฐ
ชะตากรรมของนายสมคิด – 3 รัฐมนตรี 4 กุมาร อยู่ในมือ “พล.อ.ประยุทธ์” แต่เพียงผู้เดียว