“ราชบุรีโฮลดิ้ง” เปิดแผนชิงธุรกิจพลังงาน
ราชบุรีโฮลดิ้ง เตรียมงบ 20,000 ล้านบาท ขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ พร้อมร่วมชิงโครงการรถไฟฟ้า และสนามบินอู่ตะเภา ตั้งเป้าเพิ่มขึ้นเป็น 8,960 เมกะวัตต์ ปี 62
นายกิจจา ศรีพัมฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า ราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนงานในปีนี้บริษัทได้จัดเตรียมเงินลงทุนจำนวน 20,000 ล้านบาท เพื่อเดินหน้าพัฒนาและก่อสร้างโครงการใหม่ โดยตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 8,960 เมกะวัตต์
บริษัทยังคงเน้นเป้าหมายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งในแผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้าฉบับใหม่จะเปิดให้มีการประมูลโรงไฟฟ้าในภาคตะวันตกทดแทนโรงไฟฟ้าเก่าที่หมดสัญญา จำนวน 2 แห่ง กำลังการผลิตแห่งละ 700 เมกะวัตต์ รวม 1,400 เมกะวัตต์ โดยใหม่ส่วนหนึ่ง จะทดแทนโรงไฟฟ้าไตรเอนเนอจี้ และอีกส่วนเป็นกำลังผลิตใหม่ที่ส่งไปป้อนความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้
สำหรับการลงทุนต่างประเทศก็ยังเดินหน้าทั้งโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก และพลังงานทดแทน ประเภท Greenfield หรือ Brownfield หรือโครงการที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว เช่นเดียวกับโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งมีโอกาสทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก็เป็นเป้าหมายที่บริษัทให้น้ำหนักมากขึ้นในปี 62 ส่วนการซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศออสเตรเลียอย่างน้อย 1-2 โครงการกำลังการผลิตรวมประมาณ 200 กว่าเมกะวัตต์คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วนี้
สำหรับโครงการที่จะดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD)ในปีนี้มีจำนวน 179.73 เมกะวัตต์ ประกอบ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คอลลินส์วิลล์ กำลังการผลิต 42.5 เมกะวัตต์, โรงไฟฟ้าเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น 34.73 เมกะวัตต์,โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย 102.50 เมกะวัตต์
สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้านวนครส่วนขยาย 23.99 เมกะวัตต์ จะจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ประมาณ เดือนสิงหาคม ปี 2563
ส่วนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟังเชงกัง ประเทศจีน 236 เมกะวัตต์, โรงไฟฟ้าพลังความร้อนเรียว ประเทศอินโดนีเซีย 145.15 เมกะวัตต์ ,โครงการรถไฟฟ้าสายชมพู 97 เมกะวัตต์,โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง 94 เมกะวัตต์ จะแล้วก่อสร้างแล้วเสร็จและจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในปี 2564
นอกจากนี้บริษัทยังมีความพร้อม และสนใจที่จะเข้าประมูลงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และสีเทา ซึ่งคาดว่าจะเปิดประมูลในเร็วนี้ รวมทั้งโครงการพัฒนาสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และธุรกิจกักเก็บพลังงานและโซลาร์ลอยน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือกับพันธมิตรที่มีความชำนาญ
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้วางเป้าหมายกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 10,000 เมกะวัตต์ในปี 2566 ซึ่งจะมาจากโครงการในประเทศ 50% ต่างประเทศ 50% โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในสัดส่วน 20% จากสิ้นปี 61 บริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 7,639.12 เมกะวัตต์ มาจากโครงการในประเทศ 68.2% ต่างประเทศ 31.8% โดยเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน 8.74%
สำหรับผลการดำเนินงานปี 2561 มีรายได้ รวม 45,083.54 ล้านบาท กำไร 5,587.60 ล้านบาท ลดลง 7.5% จากปี 2560 หากไม่นับรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทฯ มีกำไร 6,452.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.5% จากปี 2560 ซึ่งโครงสร้างรายได้ของบริษัทมาจาก 3 แหล่งที่สำคัญ คือ รายได้จากการขายและบริการและรายได้ตามสัญญาเช่าการเงิน 62.4% ส่วนแบ่งจากกิจการที่ควบคุมร่วมกันและเงินปันผล 33.3% และรายได้จากดอกเบี้ยและอื่นๆ 4.3%.