ศก.สหราชอาณาจักรหดตัวในรอบ 4 ปี
เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรมีแนวโน้มจะหดตัวในไตรมาส 3 หลังการลงประชามติว่าสหราชอาณาจักรจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือเบร็กซิท
ทำให้เป็นไตรมาสแรกที่จะมีเศรษฐกิจหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี อ้างอิงจากสถาบันวิเคราะห์เศรษฐกิจที่เก่าแก่ที่สุดในสหราชอาณาจักร
หลังจากผลโหวตเบร็กซิทในเดือนมิ.ย. เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรดูเหมือนจะร่วงลงถึง 0.2% ในไตรมาส 3 ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่เศรษฐกิจจะปรับลดลงถึงขนาดถดถอย อ้างอิงจากการรายงานของสถาบันเศรษฐกิจและวิจัยสังคมแห่งชาติ (NIESR) เมื่อวันที่ 3 ส.ค.
นายไซมอน เคอร์บี หัวหน้าฝ่ายสร้างแบบจำลองและการพยากรณ์ของ NIESR ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันที่ 3 ส.ค.ว่า “ เราคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะซบเซาครั้งใหญ่ในสหราชอาณาจักร ”
โดยเขากล่าวว่า มีความเป็นไปได้ถึง 50% ที่เศรษฐกิจจะถดถอย หากมีการหดตัวต่อเนื่องกันถึง 2 ไตรมาสหรือมากกว่านั้น ในช่วงเวลา 18 เดือนต่อจากนี้
การทำนายของ NIESR เกิดขึ้นหลังจากการคาดการณ์ของธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งมีนักวิเคราะห์ที่มองว่า เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรจะถดถอยเล็กน้อยในปี 2560 นอกจากนี้ ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ก็ได้เตือนว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นายเคอร์บี กล่าวว่า “ ผมไม่คิดว่านักวิเคราะห์อย่างพวกเราจะหมายถึงการถดถอยของเศรษฐกิจในระดับเดียวกับช่วงเกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี 2551-2552 นะครับ “
การคาดการณ์ในเชิงลบอาจสร้างแรงกดดันให้กับธนาคารกลางของอังกฤษ ที่จะแสดงท่าทีหลังการประชุมนโยบาย 2 วันที่เริ่มในวันที่ 3 ส.ค.นี้
ทาง NIESR มองว่าทางธนาคารกลางจะปรับลดดอกเบี้ยลงเหลือ 0.25 % หลังการประชุมและจะปรับลดลงเป็น 0.15% ในเดือนพ.ย. ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดตลอดกาลของธนาคารกลางปรับจาก 0.5% มาอยู่ที่ 0.1%
เขากล่าวเสริมว่า ทางธนาคารอาจต้องนำมาตรการคิวอี (มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ หรือการนำเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ) มาใช้ด้วย
“ ความผันผวนของเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ในไตรมาส 3 นี้ เราคาดการณ์ว่ามูลค่าการลงทุนในธุรกิจจะลดลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 2 ของปีหน้า”
สอดคล้องกับความเห็นของไอเอ็มเอฟ ทาง NIESR คาดการณ์ว่า เศรษกิจของสหราชอาณาจักรจะมีการขยายตัว 1.7% ในปีนี้ แต่สำหรับปีหน้า อาจจะมีการขยายตัวเพียง 1.0% ย่ำแย่กว่าที่ทางไอเอ็มเอฟคาดการณ์ไว้อยู่ที่ 1.3%
นอกจากนี้ เขายังได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคยุโรปลงเหลือ 1.3% จากเดิม 1.7%