กว่าพันล้านคนทั่วโลกทำงานอยู่บ้านเลี่ยงไวรัส
ประชากรกว่า 1,000 ล้านคนทั่วโลกถูกขอให้อยู่บ้านในกว่า 50 ประเทศและดินแดน เนื่องจากรัฐบาลของแต่ละประเทศกำลังต่อสู้เพื่อสกัดการระบาดของโควิด-19 จากรายงานของสื่อ AFP ในวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา
หลายประเทศประกาศมาตรการล็อกดาวน์ ขณะที่อีกหลายประเทศขอให้ประชาชนอยู่บ้านเพื่อหยุดการระบาดของไวรัส
มีอย่างน้อย 34 ประเทศและดินแดนที่ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์สั่งให้ประชาชนอยู่บ้าน คิดเป็นประมาณ 659 ล้านคนทั่วโลก ทั้งอิตาลี ฝรั่งเศส อาร์เจนตินา รัฐแคลิฟอร์เนียในสหรัฐฯ อิรัก และรวันดาโดยกรีซเป็นประเทศล่าสุดที่ประกาศมาตรการคุมเข้ม มีผลตั้งแต่เช้าวันที่ 23 มี.ค.
ประเทศโคลอมเบียประกาศมาตรการล็อกดาวน์ในวันที่ 24 มี.ค. และนิวซีแลนด์ตามมาในวันที่ 25 มี.ค.
โดยในหลายประเทศ ประชาชนยังสามารถออกจากบ้านไปทำงาน ซื้อสิ่งของสำคัญ หรือไปพบแพทย์ได้
มีอย่างน้อย 4 ประเทศ ซึ่งมีประชากรรวมกันกว่า 228 ล้านคน ทั้งอิหร่าน เยอรมนี และสหราชอาณาจักร ขอให้ประชาชนอยู่ภายในบ้าน และจำกัดการติดต่อกับผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ผลกระทบที่ได้จากมาตรการเหล่านี้ยังคงมีจำกัด
ในสหราชอาณาจักร รัฐบาลเตือนถึงมาตรการที่เข้มงวดขึ้น หลังจากยังมีการรวมกลุ่มกันในสวนสาธารณะและชายหาดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่หลายล้านคนในอิหร่านเดินทางไปร่วมเทศกาลขึ้นปีใหม่ของชาวเปอร์เชียในสัปดาห์ก่อน
หลายพื้นที่ในอินเดีย ซึ่งมีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก มีคำสั่งล็อกดาวน์ที่ส่งผลกระทบกับประชากร 700 ล้านคน
มีอย่างน้อย 10 ประเทศและดินแดนที่มีประชากร 117 ล้านคนที่อยู่ภายใต้คำประกาศเคอร์ฟิว และห้ามเดินทางในช่วงเวลากลางคืน โดยมีมาตรการนี้ในเบอร์คินา ฟาโซ , กรุงมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ เซอร์เบียและมอริทาเนีย ขณะที่ซาอุดิอาระเบียประกาศเคอร์ฟิวตั้งแต่เย็นวันที่ 23 มี.ค.
ในหลายพื้นที่ หลายประเทศมีมาตรการแยกกักตัวเองในเมืองสำคัญ ซึ่งเป็นการห้ามประชาชนเดินทางเข้าและออก มาตรการเหล่านี้จะเห็นในอัลมาตี บัลกาเรีย นูร์-สุลต่านในคาซักสถานและบาคุในอาเซอร์ไบจัน เมื่อรวมกันแล้ว จะครอบคลุมประชากรประมาณ 10 ล้านคน