‘ฮาบิแททฯ’ ดึง “แจลลุกซ์” บริหาร 4 โครงการแบรนด์วาลเด้น
อสังหาฯในกลุ่มการลงทุนโครงการคอนโดมิเนียม เร่งสร้างมูลค่า ‘ฮาบิแทท’ คว้า ‘เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์’ จากญี่ปุ่น เข้าบริหารโครงการภายใต้แบรนด์ ‘วาลเด้น’ ทั้ง 4 โครงการบนทำเลซีบีดี เผยญี่ปุ่นยังไม่ทิ้งการลงทุนในไทย
นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เผยว่า บริษัทฯได้ร่วมมือกับ เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ หนึ่งในบริษัทผู้นำด้านการบริหารโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศญี่ปุ่น เข้ามาบริหารโครงการคอนโดมิเนียมลักชัวรี่ภายใต้แบรนด์ ‘วาลเด้น’ ของฮาบิแทท กรุ๊ป ทั้งหมด 4 โครงการ ใน 3 ทำเลคุณภาพ ได้แก่ วาลเด้น ทองหล่อ 8 วาลเด้น ทองหล่อ 13 วาลเด้น สุขุมวิท 39 และวาลเด้น อโศก สร้างมาตรฐานการบริการให้แก่โครงการคอนโดมิเนียมของฮาบิแทท กรุ๊ป เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ซื้อเพื่อการลงทุน และผู้อยู่อาศัย เนื่องจากเจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่มีความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าชาวญี่ปุ่น ซึ่งโครงการวาลเด้น มีลูกค้าเป้าหมายที่จะเช่าส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น ประมาณ 80% นอกจากนี้ การบริหารโครงการโดยบริษัทมืออาชีพ จะทำให้ลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อโครงการภายใต้แบรนด์ วาลเด้น ทั้ง 4 โครงการ เชื่อมั่นและไว้วางใจในการบริการที่มีมาตรฐานระดับสากล สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้อยู่ศัย และนักลงทุนได้เป็นอย่างดี รวมถึงราคาสินทรัพย์ในอนาคตจะมีมูลค่ามากขึ้น
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าลูกค้าที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน หรือซื้อเพื่ออยู่อาศัยนั้น ก็มีความต้องการผู้บริหารจัดการดูแลโครงการ โดยเฉพาะโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา พบว่า ซัปพลายมีมากเกินกว่านักลงทุนและผู้เช่า ทำให้ผู้ที่เคยลงทุนซื้ออสังหาฯ ในรุงเทพฯ ไม่สามารถปล่อยเช่าได้ทั้งหมด คือปล่อยเช่าได้เพียง 60-70% และได้รับผลตอบแทนเพียง 3% เท่านั้น
ด้าน มิสเตอร์มาซาชิ ฮิกุจิ ประธานบริหาร บริษัท เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า การเข้าบริหารคอนโดฯแบรนด์วาลเด้นครั้งนี้ เป็น 4 โครงการแรกที่บริษัทได้เข้ามาบริหารในประเทศไทย และจากความสำเร็จในการบริหารโครงการที่อยู่อาศัยกว่า 30 โครงการในประเทศญี่ปุ่น และมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 95% ขึ้นไป ทางบริษัทฯ จึงวางแผนการขยายธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่นออกสู่ต่างประเทศ โดยตัดสินใจเลือกไทยเป็นประเทศแรก ก่อนที่จะใช้โมเดลความสำเร็จในไทย ขยายตลาดต่อไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนการเลือกเข้ามาขยายธุรกิจในไทยก่อนนั้น เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสของตลาดอสังหาฯ ในไทยเติบโต รวมทั้งมีกลุ่มคนญี่ปุ่นที่อาศัยในประเทศไทย (Expat) อยู่จำนวนมากถึง 70,000 คน และคาดการณ์ในอีก 5 ปีนับจากนี้ จะมีบริษัทญี่ปุ่นเข้ามาทำธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพนักงานที่ได้รับเงินจากบริษัทแม่ 50,000-60,000 บาทต่อเดือน ย่อมต้องการคอนโดมิเนียมที่มีการบริการดี โดยชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่นิยมและเลือกพักอาศัยในโซนเอกมัย ทองหล่อ ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลุ่มชาวต่างชาติเป้าหมายที่มีงบประมาณค่าใช้จ่ายเรื่องที่พักอาศัยประมาณ 60,000 บาทต่อเดือน อยู่ในฐานราคาที่มีความต้องการอย่างมากทั้งในตลาดปัจจุบันและในอนาคต.