คลัง-ธปท.ร่วมถกแก้ “เศรษฐกิจทรุด-บาทแข็ง”
คลังแบงก์ชาตินัดเคลียร์ปม “เงินบาทแข็ง-เศรษฐกิจชะลอตัว” ชี้ 2 หน่วยงาน พร้อมติดตามและแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งมาโดยตลอด แจงเหตุเพราะรายได้ส่งออกมากนำเข้า จนเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง พ่วงนักลงทุนต่างชาติมองเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ขนเงินเข้าลงทุนภาคการผลิตและตลาดทุน ย้ำพร้อมประสานแบงก์ชาติตามติดตลอด หลังคลอด 4 มาตรการลดแรงดันบาทแข็ง
นายลวรณ แสงสนิท ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงสถานการณ์การแข็งค่าของเงินบาทในปัจจุบันว่า มีสาเหตุหลักมาจากผู้ส่งออกของไทยสามารถส่งสินค้าและบริการออกไปขายในต่างประเทศมีมูลค่าสูงกว่าการนำเข้าสินค้าและบริการจากต่างประเทศติดต่อกันเป็นระยะเวลาหลายปี ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติมีมุมมองที่ดีต่อปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้มีเงินตราจากต่างประเทศไหลเข้ามาประเทศทั้งในรูปของการลงทุนในหลักทรัพย์ และการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง จึงส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ติดตามสถานการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแข็งค่าของเงินบาทอย่างใกล้ชิด โดยเมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา ธปท.ได้ทำการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ เพื่อลดแรงกดดันที่มีต่อค่าเงินบาท ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้
- การผ่อนคลายหลักเกณฑ์การนำเงินรายได้จากการส่งออกกลับเข้าประเทศ โดยการขยายวงเงินรายได้จากการส่งสินค้าออกที่ไม่ต้องนำกลับเข้าประเทศ (Repatriation)จากเดิมที่มีมูลค่าต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นที่มีมูลค่าต่ำกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และผ่อนผันให้ผู้ที่มีรายได้จากการส่งสินค้าออกไม่ต้องนำเงินดังกล่าวกลับเข้าประเทศในกรณีนำไปหักกลบกับคู่ค้าในต่างประเทศ
- การผ่อนคลายหลักเกณฑ์การซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยอนุญาตให้สามารถโอนเงินออกนอกประเทศได้ทุกวัตถุประสงค์ ยกเว้นวัตถุประสงค์ที่กำหนดให้ต้องยื่นขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดจนอนุญาตให้สามารถโอนเงินไปซื้อ ซื้อสิทธิการเช่า หรือชำระค่าใช้จ่ายในการตกแต่งอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศได้ ทั้งกรณีถือกรรมสิทธิ์ด้วยตนเองและบุคคลในครอบครัว ในวงเงินไม่เกินปีละ50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- การผ่อนคลายหลักเกณฑ์การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยอนุญาตให้นักลงทุนรายย่อยสามารถโอนเงินไปลงทุนในต่างประเทศได้เองในวงเงินไม่เกินปีละ200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมที่ต้องผ่านตัวกลางในประเทศ และการเพิ่มวงเงินรวมสำหรับการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่จัดสรรให้แก่นักลงทุนภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ จากเดิม 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- การผ่อนคลายการซื้อขายทองคำภายในประเทศเป็นเงินตราต่างประเทศ โดยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธปท.กำหนด
“กระทรวงการคลังพร้อมจะประสานความร่วมมือกับ ธปท.ในการออกมาตรการหรือนโยบายต่างๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทและการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจต่อไป” โฆษกกระทรวงการคลัง ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ช่วงบ่ายวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธปท. ได้เข้าหารือกับนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ถึงแนวทางและนโยบายในการแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่า รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจเชิงมหภาค และนั่นเป็นที่มาของการให้ข่าวจากโฆษกกระทรวงการคลังในวันเดียวกัน.