“โคมไฟนายหัวกะทิ” ดีไซน์เก๋โดนใจต่างประเทศ
ธุรกิจที่มีการวางรากฐานเอาไว้อยู่แล้วถือว่าเป็นข้อได้เปรียบ แต่สิ่งที่สำคัญก็คือการใช้ไอเดียเพื่อต่อยอดธุรกิจให้ก้าวหน้า และสามารถเดินหน้าไปได้อย่างยั่งยืน โดยจะต้องไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ หรือพอใจอยู่กับความสำเร็จที่ผ่านมา เพราะการตลาดยุคใหม่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
“พีระพงษ์ กลัดมี” คือชายหนุ่มที่มีโอกาสสืบทอดธุรกิจของครอบครัว โดยอาศัยความชำนาญที่เกิดจากการคลุกคลีมาตั้งแต่สมัยเด็ก มาผสมผสานเข้ากับวัตถุดิบที่ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดี และไอเดียการออกแบบผลิตภัณฑ์จากสิ่งรอบตัวที่ได้พบเห็น
สืบทอดธุรกิจครอบครัว
พีระพงษ์ ในฐานะเจ้าของกิจการโคมไฟร้านนายหัวกะทิ บอกถึงที่มาที่ไปของจุดเริ่มต้นไอเดียในการ Startup ธุรกิจยุคของตน ว่า เดิมทีคุณพ่อและคุณแม่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโคมไฟอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และได้มีการย้ายมาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี และยังดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จนวันหนึ่งได้ถึงยุคเปลี่ยนถ่ายโดยที่ตนได้เข้ามารับช่วงต่อ ซึ่งได้มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับยุคสมัย โดยได้ไอเดียมาจากสิ่งรอบตัวที่ได้พบเห็นจากการดำเนินชีวิตประจำวัน และนำมาปรับให้เข้ากับผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้ แบรนด์ที่ใช้ในการทำตลาดคือ “นายหัวกะทิ” ซึ่งปัจจุบันมีช่องทางการจำหน่ายผ่านหน้าร้านอยู่ที่ตลาดนัดจตุจักรโครงการ 19 ซอย 7/5 โดยมีพ่อค้าแม่ค้าที่สั่งผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น ภูเก็ต ,สมุย ,พังงา และพัทยา ฯลฯ ซึ่งลูกค้าหลักส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย และเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับตกแต่ง
อย่างไรก็ดี สำหรับลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคชาวไทย ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจโรมแรม และรีสอร์ท เนื่องจากชื่นชอบในการดีไซน์ที่แบรนด์ออกแบบ
เน้นขยายตลาดต่างประเทศ
พีระพงษ์ บอกต่อไปอีกว่า กลยุทธ์การทำตลาดในปีนี้ของแบรนด์ยังคงมุ่งเน้นการขยายตลาด เพื่อเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าที่ต่างประเทศเป็นหลัก โดยสนใจที่จะนำผลิตภัณฑ์เข้าไปทำตลาดที่ประเทศจีน และอินเดีย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดี และมีประชากรที่หนาแน่น ซึ่งมองว่าผลิตภัณฑ์ของแบรนด์น่าจะได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภคในประเทศดังกล่าว
“เดิมทีตลาดหลักของแบรนด์จะอยู่ที่ประเทศในกลุ่มสหภาพอียู หรือยุโรป เช่น อิตาลี ,สเปน ,ฝรั่งเศส ,เยอรมัน และที่ประเทศเวียดนาม เป็นต้น โดยในปีนี้แบรนด์ยังได้ลงทุนขยายกำลังการผลิตตัวรองโคมไฟที่ทำมาจากไม้ไผ่ไปยังหมู่บ้านอื่นเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับการทำตลาดที่จะขยายตัว จากเดิมที่จะมีแหล่งผลิตอยู่ที่ อำเภอเดชอุดม หมู่บ้านหนองยาว จังหวัดอุบลราชธานี”
นอกจากนี้ ยังเตรียมขยายหน้าร้านเพิ่มอีก 1 แห่งในโครงการตลาดจตุจักร เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น พร้อมทั้งศึกษาหาข้อมูลเรื่องการทำตลาดออนไลน์ ซึ่งแบรนด์ยังไม่เคยทำตลาดมาก่อน โดยมองว่าเป็นช่องทางที่น่าสนใจในยุคปัจจุบัน ที่ผู้บริโภคให้ความสนใจซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆผ่านช่องทางดังกล่าว อีกทั้งยังมีต้นทุนการดำเนินการที่ไม่สูงมาก แต่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม โดยยังไม่มีแผนที่จะขยายร้านไปอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด เนื่องจากไม่สามารถหาผู้ที่ไปดูแลร้านได้
รายได้โต 4-5 ล้านบาท
พีระพงษ์ บอกอีกว่า จากกลยุทธ์การทำตลาดตลาดดังกล่าวของแบรนด์เชื่อว่าในปีนี้จะสามารถทำให้มีรายได้อยู่ที่ 4-5 ล้านบาท จากเดิมที่จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2-3 ล้านบาท หรือประมาณเดือนละ 2 แสนบาท โดยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์แบรนด์ “นายหัวกะทิ” อยู่ที่การเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยมือ หรือแฮนด์เมด (HandMade) และตัวรองโคมไฟที่ทำจากไม้ไผ่ ซึ่งจะถูกนำมาทำให้เป็นเส้นขนาดเล็ก หลังจากนั้นจึงนำมาทอเข้าให้เป็นรูปร่าง โดยใช้วิธีเดียวกันกับการทอผ้าไหม เพื่อให้แสงจากโคมไฟผ่านออกมา
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีเดเวลลอปเม้นท์แบงก์ (SME Development Bank) มีส่วนสนับสนุนให้ธุรกิจของร้านสามารถขยายตัวได้เพิ่มมากขึ้นผ่านการช่วยเหลือทางด้านสภาพคล่องด้วยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ซึ่งแบรนด์ได้นำมาใช้ในการเพิ่มจำนวนผู้ผลิตตัวรองโคมไฟ และช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักมากขึ้นจากผู้บริโภค
“หลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จของแบรนด์นั้น มองว่าอยู่ที่การผลิตโคมไฟที่มีคุณภาพ และจำหน่ายในราคาที่สมเหตุสมผล เพื่อให้ลูกค้าที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าที่สั่งไปจำหน่ายต่อได้ขายต่ออย่างสะดวกสบาย ที่สำคัญจะต้องเป็นโคมไฟที่ลูกค้าซื้อไปแล้วต้องกลับมาซื้อซ้ำ ซึ่งจะเป็นหลักฐานยืนยันที่ชัดเจนถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ นายหัวกะทิ”
นายพีระพงษ์ กลัดมี เบอร์ติดต่อ 064-8798348