แคนเดลา ไทยแลนด์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม
ธุรกิจความสวยความงามเป็นธุรกิจที่มีอัตราการขยายตัวที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกปี เพราะถือเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งไม่ใช่เพียงเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น แต่ปัจจุบันผู้ชายเองก็หันมาให้ความสนใจกับเรื่องการดูแลตัวเองเพิ่มมากขึ้น
จากตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล และมีแนวโน้มการเติบโตในทุกปี ส่งผลให้เกิดผู้ประกอบการที่เข้ามาร่วมวงแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดกันเป็นจำนวนมาก เห็นได้จากแบรนด์ของผลิตภัณฑ์ที่จำกันได้แทบไม่หมด และที่จ่อคิวเตรียมจำหน่ายกันก็อีกหลายแบรนด์
“แคนเดลา ไทยแลนด์” (CANDELA THAILAND) คืออีกหนึ่งแบรนด์ที่ Startup ธุรกิจขึ้นมาจากการรวมตัวของกลุ่มเพื่อน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดทางด้านความงามและสุขภาพ โดยเพียงแค่ผลิตภัณฑ์แรกที่ออกสู่ตลาดก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค
ต้นกำเนิดธุรกิจ
ฉัตรทิพย์ ญัติติพร เจ้าของแบรนด์ แคนเดลา ไทยแลนด์ บอกว่า จุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจครั้งนี้มาจากการที่ตัวเธอได้มีโอกาสไปเสริมความงามกับแพทย์ผิวหนัง และได้ใช้สารสกัดที่มีชื่อว่า DNA X จากปลาแซลมอล โดยมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างชัดเจนหลังจากที่ได้ใช้ ซึ่งทำให้เธอรู้ทันทีว่าเป็นสารสกัดที่เหมาะกับสภาพผิวของคนไทย ประกายไอเดียในการทำธุรกิจจึงก่อตัวขึ้น
หลังจากนั้นตัวเธอจึงพยายามเสาะหาสารสกัดดังกล่าวเพื่อนำมาเป็นส่วนผสมหลักของผลิตภัณฑ์ โดยจะต้องนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือว่ามีราคาที่ค่อนข้างสูง แต่เมื่อนำมาสกัดเป็นเซรั่มและบรรจุลงขวดขนาดเล็ก ก็ทำให้เป็นผลิตภัรฑ์ที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เสมือนเป็นการได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ โดยปรากฎว่าผลตอบรับที่ได้กว่า 90% จากผู้ใช้จะกลับมาซื้อซ้ำ และมีการบอกต่อกันไปแบบปากต่อปาก จนทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในลอตแรกไม่พอจำหน่าย บริษัทจึงต้องผลิตเพิ่มเป็นลอตที่ใหญ่ขึ้น
ธนวัน ปันทะโชติ เจ้าของแบรนด์ แคนเดลา ไทยแลนด์ กล่าวเสริมว่าการทำตลาดของแบรนด์จะมุ่งเน้นการดำเนินการบนช่องทางออนไลน์ผ่านเฟสบุ๊กเป็นหลัก เพราะมีต้นทุนที่ไม่สูง แต่มีประสิทธิภาพในการเจาะตลาดอย่างมาก อีกทั้งยังมีการขยายตลาดไปยังประเทศลาวผ่านร้านจำหน่ายเครื่องสำอางที่ศูนย์ความงาม ซึ่งเป็นตัวแทนในการทำตลาดให้กับแบรนด์
“กลยุทธ์การทำตลาดที่ลาวกับไทย บริษัทใช้รูปแบบเดียวกันผ่านทางออนไลน์ โดยการยิงโฆษณาเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีจากที่เริ่มออกผลิตภัณฑ์เดือนเมษายน 61 เมื่อถึงสิ้นปี 61 บริษัทมียอดรายได้อยู่ที่ประมาณ 4 ล้านบาท”
ต่อยอดผลิตภัณฑ์เพิ่มฐานลูกค้า
ฉัตรทิพย์ กล่าวต่อไปอีกว่า ในปีนี้บริษัทได้ดำเนินการต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่ครีมกันแดดแบบ 3 IN 1 โดยจะมีคุณสมบัติที่เป็นทั้งครีมกันแดด รองพื้น และแป้ง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่เร่งรีบ หรือกลุ่มวัยทำงาน หรือพ่อค้าแม่ค้าเจ้าของกิจการ หรือนักศึกษาที่ต้องการแนวใสๆ ไม่ต้องแต่งหน้ามาก โดยมองว่าตลาดเครื่องสำอางค์ยังเติบโต และมีมูลค่าทางการตลาดที่สูงมาก
นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์กาแฟควบคุมน้ำหนัก 24 IN 1 พร้อมรับประทาน โดยมีส่วนผสมของสารสกัด และสมุนไพร 24 ชนิดเป็นส่วนประกอบ ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าแรกในตลาดที่มีส่วนผสมมากชนิดที่สุด และมีการใส่ส่วนผสมของแต่ละชนิดแบบเต็มเพดานเท่าที่จะใส่ได้ตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนด ไม่ว่าจะเป็นคอลลาเจน ,ไฟเบอร์ ,แอลคาร์นิทีน และที่สำคัญที่สร้างความแตกต่างในตลาดคือการใช้ครีมเทียมจากน้ำมันรำข้าว เนื่องจากหากเป็นครีมเทียมจากถั่วเหลือง อาจะส่งผลต่อผู้ที่แพ้ และฮอร์โมนผู้หญิงของผู้ที่รับประทาน
“บริษัทตั้งใจทำให้เป็นหมือนกาแฟเพื่อสุขภาพ เนื่องจากตอนนี้กระแสสุขภาพมาแรง โดยบริษัทจะขยายกลุ่มลูกค้าตั้งแต่วัยทำงานไปจนถึงกลุ่มผู้สูงอายุ เพราะกาแฟเป็นเครื่องดื่มที่กลุ่มผู้บริโภคดังกล่าวรับประทาน ยิ่งบริษัททำให้เป็นกาแฟเพื่อสุขภาพก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจมากขึ้น โดยจุดเด่นของแบรนด์อยู่ที่สารสกัดจากผลการใช้จริง ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เห็นผลจริง ซึ่งได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง และปลอดภัย”
เน้นออนไลน์พร้อมเล็งตลาด CLMV
ธนวัน กล่าวว่า การทำตลาดของทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์จะเน้นช่องทางออนไลน์แบบเดิมประมาณ 80% ส่วนที่เหลือจะเป็นออฟไลน์ทั้งในประเทศ ซึ่งบริษัทกำลังเจรจาธุรกิจกับร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์อยู่ประมาณ 2-3 เจ้า เพื่อให้ได้ร้านที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด และเพื่อเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ เช่นเดียวกับตลาดที่ลาว อย่างไรก็ดี บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มจำนวนฐานลูกค้า และรายได้ โดยคาดว่าภายในระยะเวลา 2-3 ปีน่าจะเข้าไปทำตลาดได้ทั้งหมด ซึ่งล่าสุดบริษัทกำลังจะได้ไปออกงานแสดงสินค้าที่ประเทศจีนด้วย
“บริษัทจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำลาดในประเทศไปสู่การเป็นระบบผู้ค้าแทนรูปแบบของตัวแทนจำหน่าย โดยอาจจะกำหนดให้มีผู้ค้าส่งรายใหญ่จังหวัดละ 1 ราย เพื่อให้เป็นจุดกระจายผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนทางด้านขนส่ง รวมถึงการควบคุมราคาไม่ให้มีการจำหน่ายตัดราคากันเองของผู้ค้าแต่ละรายเหมือนกับระบบตัวแทนจำหน่าย”
ฉัตรทิพย์ กล่าวต่อไปว่า “จากลกยุทธ์การทำตลาดดังกล่าว เชื่อว่าจะสามารถสร้าสงรายได้ให้กับบริษัทได้ประมาณ 20 ล้านบาทในปีนี้ และมีเป้าหมายที่จะขยายให้ได้ถึง 100 ล้านบาทภายใน 3 ปี ตามกลยุทธ์การทำตลาดแบบเป็นขั้นตอน และการเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ที่มากขึ้น”
อย่างไรก็ดี บริษัทมีแผนที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ MAI ภายในระยะ 5 ปี โดยมุ่งหวังว่าจะสามารถช่วยขยายธุรกิจของบริษัทให้เติบโตได้เพิ่มมากขึ้น จากทุนที่ได้นำมาวิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงนวัตกรรมที่จะถูกนำมาปรับใช้ และการควบคุมคุณภาพในการผลิตด้วยการสร้างโรงงานเป้นของตนเอง ที่สำคัญยังช่วยเรื่องการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคู่ค้าได้อีกด้วย
ความคิดมีอายุ
ธนวัณ ฝากข้อคิดถึงคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตนเองด้วยว่า หากต้องการทำธุรกิจต้องไม่เข้าข้างตัวเอง อย่าคิดเพียงแค่ว่าต้องการทำในสิ่งที่อยากทำ และคิดว่าผลิตภัณฑ์ของเราดีที่สุด เพราะโลกของธุรกิจจริงโหดร้ายกว่าที่คิด ดังนั้น จึงต้องหาข้อมูลเพื่อสนับสนุนการออกผลิตภัณฑ์แต่ละครั้งให้มากที่สุด ที่สำคัญจะต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยดูโจทย์จากลูกค้าเป็นหลักใหญ่
ด้านฉัตรทิพย์ บอกว่า ทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้อยู่ที่การเริ่มต้นลงมือทำ ไม่ว่าจะคิดอย่างไร หรือเชื่ออย่างไรหากไม่มีการลงมือทำสิ่งนั้นก็จะไม่เกิด ที่สำคัญตนเชื่อว่าความคิดนั้นมีอายุ หากคิดได้แล้วปล่อยเวลาล่วงเลยไป เพื่อรอให้พร้อมก่อนอาจจะไม่ได้ทำ เพราะความพร้อมไม่มีอยู่จริง เพราะฉะนั้น จึงควรลงมือทำในทันที ทำสิ่งใดก็ได้และทำตอนนั้นเลย