รัฐบาลเปิดปฏิบัติการจัดการขบวนการหมิ่นสถาบันฯ
ในช่วงที่อารมณ์คนไทยทั้งแผ่นดินอยู่ในช่วงโศกเศร้า แต่อีกด้านกลับมีคนคิดไม่ดีใช้โอกาสสร้างความปั่นป่วน วุ่นวาย โดยเฉพาะการปล่อยข่าวบิดเบือนความจริง และที่เจ็บปวดหัวใจคนไทยในลักษณะจาบจ้วง หมิ่นสถาบันฯ อันเป็นที่เคราพรักของคนไทยทั้งชาติ
แน่นอนว่าเรื่องนี้รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และยังคงทำทุกวิถีทางในการไล่จับคนเหล่านี้ให้จงได้
ซึ่งล่าสุด ” บิ๊กตู่ “ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. สั่งการให้ ” บิ๊กต๊อก “ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คุมงานภารกิจนี้ ร่วมกับ ” ศตส. “ ศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ มอนิเตอร์ขบวนการหมิ่นสถาบัน โดยมีหน่วยงานความมั่นคงเป็นกองหนุน
“ บิ๊กต๊อก ” ไม่รอช้า ร่อนหนังสือถึงเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยทั้ง 7 ประเทศ แจ้งการเคลื่อนไหวประเทศต่างๆ ของบุคคลจำนวน 19 คน หรือประมาณ 6-7 กลุ่ม เพื่อให้เข้าใจความรู้สึกของคนไทยและสถานการณ์ในประเทศ โดยยืนยันว่าไทยจะไม่ละเมิดอธิปไตยกฎหมายของประเทศนั้น ๆ
“ ขณะนี้รัฐบาลได้แบ่งการดำเนินการต่อผู้ที่กระผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.ติดตาม 2.ปราบปรามระงับยับยั้งเกี่ยวกับไอซีที 3.การดำเนินการระหว่างประเทศ และ 4.สร้างทัศนคติเข้าใจให้แก่คนไทย โดยงานทั้ง 4 กลุ่มต้องดำเนินการควบคู่กันไป และกระทรวงการต่างประเทศต้องเป็นที่นำข้อมูลทั้งหมดนี้ไปชี้แจงต่อนานาชาติ โดยเฉพาะเรื่องวัตถุประสงค์ของกฎหมาย ที่โดยปกติแล้วสถาบันฯไม่สามารถที่จะมาฟ้องร้องคนที่กล่าวละเมิด ฉะนั้นจึงต้องมีการตรากฎหมายมาตรา 112 ขึ้นมาเพื่อให้รัฐบาลหรือเจ้าหน้ารัฐเป็นผู้กระทำการแทน แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะรังแกคนเหล่านั้น รัฐบาลเพียงแต่ดำเนินการตามกฎหมายเท่านั้น ”
ซึ่งภารกิจนี้ พลเอกไพบูลย์ มอบอำนาจให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เป็นผู้ประสานข้อมูล และให้ไปตรวจสอบว่าผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 อยู่ประเทศใดบ้าง จากนั้นรัฐบาลจะทำหนังสือไปยังเอกอัครราชทูตของประเทศเหล่านั้นประจำประเทศไทย เพื่อให้ดำเนินการกับคนที่กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พร้อมเรียกร้องให้คนไทยในประเทศนั้นๆ ใช้มาตรการทางสังคมกับคนเหล่านี้ด้วย
เรื่องนี้ “ พันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ” ก็รับลูกไปปฏิบัติทันที โดยระบุว่า ข้อมูลการกระทำความผิดที่ พลเอกไพบูลย์ สั่งให้รวบรวม เป็นข้อมูลเดิมที่ปรากฏตามหมายจับ และพบว่ามีคนนำข้อมูลเดิมมาขยายความเพิ่มเติมแล้วโพสต์ใหม่ ที่ผ่านมาดีเอสไอได้รวบรวมข้อมูลส่งให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานกลางประสานกับประเทศที่ผู้กระทำความผิดไปพักอาศัย ขณะที่ดีเอสไอได้ตรวจสอบการกระทำความผิดผ่านเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียต่างๆ พร้อมเร่งประสานให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที ปิดเว็บไซต์หรือบล็อกโซเชียลมีเดียด้วย
ขณะเดียวกัน นอกจากการติดตามตัวคนที่หมิ่นสถาบันฯที่หลบหนีในต่างประเทศแล้ว รัฐบาลยังเดินหน้าจัดการการโพสต์ข้อความหมิ่นฯทาง “ โซเชียลมีเดียร์ ” และเว็บไซต์อีกด้วย
“ พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ” ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเว็บไซต์ไม่เหมาะสมตลอด 24 ชั่วโมง พบว่า มีต้นทางเว็บไซต์หมิ่นสถาบันประมาณ 50-60 เว็บไซต์ ซึ่งในจำนวนนี้ ยังมีเว็บเครือข่ายย่อยที่เกี่ยวโยงไปอีกประมาณ 5-6 เท่า แต่ขณะนี้รัฐบาลสามารถใช้อำนาจตามประกาศ คสช. “ปิดเว็บ” ที่มีเนื้อหมิ่นสถาบันได้ทันที ซึ่งขณะนี้ได้ปิดเว็บหมิ่นสถาบันไปแล้ว ร้อยละ 35
ส่วนเว็บไซต์ต่างประเทศนั้ประสานติดต่อไปยังประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี สำหรับประชาชนที่พบเห็นให้โทรศัพท์แจ้งได้ที่สายด่วน 1212 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ด้าน “ พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ” บอกว่า นับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม จนถึงขณะนี้ พบผู้กระทำความผิดคดีอาญามาตรา 112 ทั้งหมด 12 คน ซึ่งเป็นการออกหมายจับ 8 คน จับกุม 2 คน และอยู่ระหว่างออกหมายจับอีก 2 คน โดยพบว่า มีการโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันเบื้องต้นผ่านเว็บไซต์ต่างๆ จึงสั่งการให้ตำรวจทุกพื้นที่ดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการรวมกลุ่มทำร้ายร่างกายผู้กระทำผิดกฎหมายมาตรา 112 หากพบเห็นให้ตำรวจเรียกทั้ง 2 ฝ่ายมาพูดคุยทำความเข้าใจ แต่หากไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ให้บังคับใช้กฏหมายกับทั้ง 2 ฝ่ายทันที