“ชิมช้อปใช้” สะพัดช่วงวันหยุดยาวเฉียด 2,000 ล.
ผช.รมว.คลังโว ยอดใช้จ่าย “ชิมช้อปใช้” สะพัดช่วงวันหยุดออกพรรษาเฉียด 2,000 ล้านบาท เผยยอดใช้จ่ายนับแต่วันแรกถึง 14 ต.ค. พุ่งทะลุกว่า 8,000 ล้านบาทแล้ว ลั่นขอบคุณโมเดิร์นเทรดและร้านสะดวกซื้อให้ความร่วมมืองดจัดโปรโมชั่นดึงลูกค้า
นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผช.รมต.ประจำนายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติงานกระทรวงการคลัง) กล่าวถึงจากการจัดเก็บข้อมูลช่วงวันหยุดเทศกาลวันออกพรรษา (12-14 ต.ค.) ว่า มีประชาชนเดินทางออกไปใช้จ่ายในโครงการชิมช้อปใช้จำนวนมาก ทำให้ร้านอาหารและร้านค้ารายย่อยโดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ มียอดการใช้จ่ายอย่างคึกคัก ส่งผลให้เม็ดเงินสะพัดออกสู่ต่างจังหวัด ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ยกตัวอย่าง ในจังหวัดภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ทั้ง จ.เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และเพชรบูรณ์ ประชาชนต่างพากันเดินทางไปท่องเที่ยวและใช้เงินเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ รัฐบาลถือว่าเป็นความสำเร็จในการจุดประกายให้เกิดสังคมไร้เงินสดเป็นวงกว้าง เป็นการสร้างฐานผู้ใช้ e-wallet หรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่สร้างยอดผู้ใช้ได้เป็น 10 ล้านคนในคราวเดียว พ่อค้า แม่ค้า คนสูงวัย ประชาชนในต่างจังหวัด ร้านค้าที่ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ทำให้ประชาชนเริ่มคุ้นเคยและเห็นแล้วว่าเพิ่มโอกาสให้เขาได้ บางร้านเล็กๆ ขายผักในตลาดมีเงินเพิ่มจากช่องทางนี้ สำหรับคนค้าขายรายย่อยคือกำลังใจและโอกาส
สรุปยอดการใช้จ่ายเฉพาะในช่วงวันหยุดยาว 3 วัน พบยอดการใช้จ่าย 1,842 ล้านบาท สำหรับตัวเลขการใช้จ่ายรวมตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย.-14 ต.ค.62 มียอดการใช้จ่ายทั้งสิ้น 8,071.1 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดจากกระเป๋า 1 จำนวน 7,967 ล้านบาท จากกระเป๋า 2 จำนวน 104 ล้านบาท แบ่งออกเป็นร้านชิม จำนวน 741.2 ล้านบาท ร้านช้อป จำนวน 3,242.7 ล้านบาท ร้านใช้ จำนวน 72.6 ล้านบาท และร้านค้าทั่วไป จำนวน 1,578.3 ล้านบาท ส่วนจำนวนผู้ไปใช้สิทธิ์แล้ว 8,328,931 คน ผู้ที่ยังไม่ไปใช้สิทธิ์ 1,671,395 คน สำหรับจังหวัดที่มีผู้ไปใช้สิทธิ์มากที่สุดอันดับที่ 1.กรุงเทพฯ 1,046.7 ล้านบาท 2.ชลบุรี 521.4 ล้านบาท และ 3.สมุทรปราการ 344.7 ล้านบาท ส่วนเชียงใหม่เพิ่มเป็น 182.3 ล้านบาท และเชียงราย 79.7 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ยังขอชื่นชมและขอบคุณผู้ประกอบการร้านค้า ทั้งโมเดิร์นเทรดและร้านสะดวกซื้อทุกราย ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งในการยุติการจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมทันทีหลังจากที่ได้มีการเรียกมาชี้แจงทำความเข้าใจ เมื่อวันศุกร์ (11 ต.ค.) ที่ผ่านมา รวมถึงปรับปรุงระบบให้บริการหน้าจุดชำระเงินเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนใหม่ ให้มีความคล่องตัวมากขึ้นโดยไม่มีเงื่อนไขที่ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่เป็นธรรม.