ภาษีใหม่ทำร้ายบริษัทสหรัฐฯในจีน
กลุ่มล็อบบี้ธุรกิจรายใหญ่ในสหรัฐฯ ระบุว่า ภาษีศุลกากรที่ปรับเพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯกับจีนกำลังทำลายความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอเมริกันที่ดำเนินธุรกิจในจีน โดยเสริมว่าหลายบริษัทกำลังย้าย หรือมีแผนจะย้ายฐานการผลิตไปที่ประเทศอื่น
หอการค้าอเมริกันในจีน (AmCham China) ระบุในรายงานเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ว่าบริษัทสหรัฐฯ เผชิญกับการตรวจสอบจากรัฐบาลมากขึ้น รวมถึงพิธีการทางศุลกากรและการออกใบอนุญาตที่ล่าช้า
เกือบ 75% ของ 250 บริษัทที่ตอบแบบสำรวจของหอการค้าอเมริกันระบุว่า ภาษีที่เพิ่งปรับขึ้นของสหรัฐฯและจีนกำลังส่งผลกระทบด้านลบกับธุรกิจของพวกเขา
ทั้งนี้ มีการจัดทำผลสำรวจหลังจากจีนและสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีศุลกากรกับสินค้านำเข้าของกันและกันในเดือนพ.ค.นี้
AmCham China ระบุว่าบริษัทอเมริกันมากกว่า 40% กำลังพิจารณาย้ายฐานการผลิตออกจากจีน หรือได้ตัดสินใจไปแล้ว โดยจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมคือประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเม็กซิโก ขณะที่มีผู้ตอบแบบสำรวจน้อยกว่า 6% ที่ระบุว่ากำลังพิจารณาย้ายฐานการผลิตกลับไปสหรัฐฯ
ต่างจากผลสำรวจก่อนหน้านี้ที่จัดทำช่วงเดือนส.ค. – ก.ย.2561 ที่ระบุว่า เกือบ 65% ของผู้ตอบแบบสำรวจต้องการอยู่ในจีนต่อไป และ 1 ใน 5 ของบริษัทสหรัฐฯ เจอการตรวจสอบที่เข้มงวดจากทางการจีน ขณะที่อีก 20% ระบุว่าสินค้าของพวกเขาที่เข้าประเทศต้องล่าช้าจากระบบศุลกากร
ยังไม่มีกำหนดการเจรจาการค้ารอบใหม่ของทั้งสองประเทศ แม้ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนจะเข้าร่วมประชุมซัมมิตกลุ่มประเทศ G20 ที่นครโอซาก้าประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 28 -29 มิ.ย.
เอเดรียน บราวน์ ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวอัลจาซีรารายงานจากกรุงปักกิ่งว่า ท่าทีของสื่อภาครัฐจีนแสดงออกอย่างชัดเจนว่า รักชาติอย่างแข็งกร้าว
“ เราได้เห็นภาพยนตร์เก่าที่เชิดชูบทบาทของจีนในสงครามที่ต่อต้านสหรัฐฯในสงครามเกาหลี เราได้เห็นเนื้อเพลงที่เผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะบน WeChat เนื้อเพลงที่โจมตีสหรัฐฯ และบทบาทของสหรัฐฯที่มีความขัดแย้งกับจีน โดยเพลงหนึ่งมีเนื้อเพลงบรรทัดหนึ่งว่า หากผู้กระทำผิดต้องการสู้ เราจะทำให้พวกเขาพ่ายแพ้แบบหมดปัญญา”
ไม่เพียงแต่สื่อที่แสดงท่าทีต่อต้านสหรัฐฯ เท่านั้น แต่เหรินเจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งหัวเว่ยที่ถูกสหรัฐฯแบนกล่าวให้สัมภาษณ์กับ CCTV เมื่อวันที่ 21 พ.ค.ว่า “ นักการเมืองสหรัฐฯประเมินพลังของเราต่ำเกินไป ”