ธนารักษ์เปิดจองบ้านประชารัฐ
ข้าราชการเฮ! อีก 2 ปีเข้าอยู่โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐได้ “จักรกฤศฏิ์” มั่นใจโครงการเกิดอย่างแน่นอน เพราะมีให้เลือก 2 รูปแบบบ้านเช่าระยะสั้นไม่เกิน 5 ปีและระยะยาว 30 ปี ถูกใจข้าราชการและประชาชน
“อีก 2 ปีข้าราชการชั้นผู้น้อยจะสามารถเข้าไปอาศัยในโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐได้อย่างแน่นอน” นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ แถลงข่าวเมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา หลังจากภาคเอกชนที่แสดงความสนใจซื้อซองประมูลก่อสร้างโครงการนี้ทั้งหมด 17 ราย แต่ยื่นซองให้กรมธนารักษ์พิจารณาเพียง 6 ราย
อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา กรมธนารักษ์ได้ปิดรับซองประกวดราคาบ้านโครงการบ้านประชารัฐธนารักษ์ เรียบร้อยแล้ว จากจำนวนที่ดินทั้งหมด 6 แปลง มีเอกชนสนใจเข้าร่วมประมูลทั้งหมด 6 ราย ซึ่งผลปรากฏว่ามีที่ดินเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่ไม่มีเอกชนสนใจคือ จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีสาเหตุจากทำเลที่ตั้งอยู่ไกล และหลังจากกรมฯ จะต้องพิจารณาอีกครั้งว่า ที่แปลงดังกล่าว ต่อไปจะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้เกิดความเหมาะสม
สำหรับที่ดินจำนวน 5 แปลงในการยื่นซองประกวดราคาเพื่อก่อสร้างโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ ปรากฏว่า ที่ดินที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 2แปลงคือ 1.ที่ตั้งขององค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ หรือ ร.ส.พ. เดิมบนถนนพหลโยธินตรงกับวัดไผ่ตัน มีเอกชนให้ความสนใจเสนอแบบบ้านเป็นคอนโดมิเนียม 3 ราย ประกอบด้วย บริษัท ปักกิ่ง เออร์บัน-คอนสตรัค ชั่น ยาไถ่ (ไทย) คอนตรัคชั่น กรุ๊ป จำกัด บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด 2.ที่ตั้งของโรงกษาปณ์เก่า บนถนนประดิพัทธ์ เสนอแบบบ้านเป็นคอนโดมิเนียม มีทั้งหมด 3 ราย ประกอบด้วยบริษัท ปักกิ่ง เออร์บัน-คอนสตรัค ชั่น ยาไถ่ (ไทย) คอนตรัคชั่น กรุ๊ป จำกัด บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด
ส่วนที่ดินในต่างจังหวัดที่เหลืออีก 3 แปลง จังหวัดเชียงใหม่ เสนอโครงการเป็นคอนโดมิเนียม 2 รายและทาว์เฮาส์ 1 ราย ประกอบด้วย บริษัท พีซีซี โพสเทนชั่น จำกัด บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท อารียา แมนเนจเมนท์ จำกัด และอีก 2 แปลงสุดท้ายที่จังหวัดเพชรบุรี มีผู้เสนอโครงการเพียง 1ราย คือ บริษัท กลอรี่ แมนเนจเมนท์ จำกัด ซึ่งการเสนอโครงการมาเพียงรายเดียวนั้นกรมฯ จะพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้ง เนื่องจากไม่มีคู่แข่ง
“หลังจากนี้ อีก 2 สัปดาห์ คณะกรรมการพิจารณาเพื่อคัดเลือกผู้ชนะโครงการจะสามารถประกาศผู้ชนะได้ หลังจากนั้นผู้ประกอบการต้องนำโครงการดังกล่าวไปเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โดยคาดว่า จะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างไม่เกิน 2 ปี นับจากวันที่อีไอเออนุมัติโครงการ ซึ่งในระหว่างนี้ ข้าราชการและประชาชนที่สนใจสามารถยื่นความจำนงได้ตั้งแต่วันนี้ (8 ก.ค.) เป็นต้นไปที่ธนาคารออมสินและธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)” อธิบดีกรมธนารักษ์
สำหรับโครงการที่อยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ 2 แปลง จะเป็นบ้านเช่าระยะ 5 ปี เสียค่าเช่าเดือนละ 4,000 บาท โดยจะปรับค่าเช่าเพิ่มขึ้น 15% ทุกๆ 5 ปี และเปิดโอกาสให้เฉพาะข้าราชการชั้นผู้น้อยที่มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งคาดว่าโครงการนี้จะได้รับความสนจากข้าราชการจำนวน เพราะทำเลตั้งอยู่ใจกลางเมืองและไม่แพง เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ใช้สอยไม่เกิน 30 ตารางเมตรในระดับเดียวกัน ค่าเช่าน่าจะแตะ 8,000-12,000 บาทต่อเดือน
ส่วนโครงการฯ ที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นบ้านหลังแรก สัญญาเช่าซื้อนาน 30 ปี ราคาบ้านไม่เกิน 1 ล้านบาท เปิดโอกาสให้ข้าราชการและพนักงานข้าราชการทั่วไประยะเวลาการผ่อนนาน 30 ปี อัตราดอกเบี้ยปีละ 0% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2% ปีที่ 4-6 ดอก เบี้ย 5% ปีที่ 7-30 อัตราดอกเบี้ยลอยตัวของธนาคารออมสิน และธอส. ขณะที่จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 2 แปลง จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปและข้าราชการแต่ต้องเป็นบ้านหลักแรกภายใต้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยเดียวกัน
“โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ ไม่ต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอีกแล้ว เพราะ ครม.ได้อนุมัติโครงการนี้ พร้อมโครงการบ้านประชารัฐธนาคารออมสินและธอส. ยกเว้นกรมฯ จะเสนอเฟส 2 ซึ่งเป็นโครงการใหม่ถึงจะต้องให้ ครม.อนุมัติ ซึ่งขณะนี้ กรมมีที่ดินอีก 4 แปลงประกอบด้วย 1.ราชพัสดุแขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา เนื้อที่ 2 ไร่ 2.ที่ราชพัสดุตำบลบึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เนื้อที่ 7 ไร่ 3.ที่ราชพัสดุตำบลบางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา เนื้อที่ 44 ไร่ และ 4.ที่ราชพัสดุตำบลหัวเตย อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 3 ไร่ หากโครงการแรกประสบความสำเร็จ”
นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวว่า ประเด็นที่สำคัญและต้องมีการพิจารณาต่อไปคือ โครงการเช่าระยะสั้น 5 ปี ใครคือผู้บริหารโครงการระหว่างภาคเอกชน หรือธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ (ธพส.) เพราะโครงการของกรมธนารักษ์จะเน้นเรื่องคุณภาพและสิ่งแวดล้อมด้วย เพื่อสร้างสังคมที่ดีให้แก่ข้าราชการ หากภาคเอกชนมองว่า การบริหารโครงการที่ยาวนาน 30 ปี เป็นภาระที่หนักมากเกินไป ก็สามารถยกการบริหารดังกล่าวให้ ธพส.ดูแลได้
ส่วนภาคเอกชนที่ชนะการประมูล สามารถกู้เงินเพื่อก่อสร้างโครงการกับธนาคารออมสินและ ธอส.ได้ทันที ภายในวงเงิน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี