ธสน.ผนึกพันธมิตรดันไทยรุกตลาดอินเดีย
3 ประสาน “EXIM BANK (ธสน.) – พาณิชย์ – ต่างประเทศ” ผนึกกำลังหนุนพ่อค้าไทยลุยตลาดอินเดีย ชี้วอลุ่มการค้าระหว่างกันเติบถึง 60% ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คาด 3 ข้างหน้ายังคงโตแตะ 40% เผย 2 กรอบการค้า ทั้ง FTA “ไทย-อินเดีย” และอาเซียน+6 หนุนธุรกิจไทย ย้ำคนพื้นถิ่นคิดดีกับคนไทย แนะปรับทัศนคติใหม่ พร้อมลงพื้นที่ศึกษาโอกาสการค้า พร้อมหนุนทั้งเงินกู้และช่องทางธุรกิจ
นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะ กรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM BANK กล่าวในงานสัมมนา “อินเดีย : หน้าต่างแห่งโอกาส (India : The Window of Opportunities)” ว่า อินเดียเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางที่จะมีมากถึง 400 ล้านคนในไม่ช้านี้ ซึ่งจะเป็นฐานกำลังซื้อที่สำคัญของไทย ประกอบกับคนส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ดีกับคนไทย สินค้าและธุรกิจไทย โดยปี ค.ศ.2016 พบปริมาณการค้าระหว่างไทยกับอินเดียเติบโตถึง 60% และมีมูลค่าการค้าในปีที่ผ่านมา รวม 12,463.72 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไทยส่งออกสินค้าได้มากถึง 7,600.32 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่นำเข้าจากอินเดียเพียง 4,863.43 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม หากดูจำนวนนักลงทุนไทยในอินเดีย ถือว่ายังน้อยมาก จำเป็นที่จะต้องปรับทัศนคติกับคนอินเดียและประเทศอินเดียใหม่
“ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก จากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน จำเป็นที่ผู้ประกอบการไทยควรบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ ควบคู่กับการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ ทางเลือกหนึ่งคือ การขยายการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย ที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก (1,300 ล้านคน) และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทำให้เกิดความต้องการในการบริโภคที่หลากหลาย” นายอดุลย์ กล่าวและว่า
การเจาะตลาดอินเดียให้ประสบความสำเร็จ ผู้ประกอบการไทยต้องเข้าใจความหลากหลายของอินเดียและดำเนินกลยุทธ์การตลาดโดยสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคแต่ละรัฐ ซึ่งรัฐที่มีศักยภาพสูงส่วนใหญ่อยู่บริเวณฝั่งตะวันตกและตอนใต้ของประเทศ แต่มีความโดดเด่นและปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยควรมองอินเดียในลักษณะ 1 รัฐ เท่ากับ 1 ประเทศ เพื่อศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของแต่ละรัฐก่อนจะรุกเข้าไปทำธุรกิจ โดย EXIM BANK พร้อมสนับสนุนเครื่องมือทางการเงินในการเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจในอินเดีย ทั้งด้านเงินทุนหมุนเวียน เงินทุนระยะกลางถึงระยะยาว ประกันการส่งออก และประกันความเสี่ยงการลงทุน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยมีความพร้อมและความมั่นใจในการรุกเข้าตลาดอินเดีย สามารถแข่งขันได้ในทางธุรกิจและบริหารความเสี่ยงทางการค้าและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากคู่ค้าในอินเดีย
“ร้านอาหารไทยเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจะมีโอกาสดี หลังจากมีนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยเมื่อปี 61 มากกว่า 1.6 ล้านคน คาดว่าในปี 62 ตัวเลขนักท่องเที่ยวจะสูงถึง 2 ล้านคน และจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในปีต่อไป เนื่องจากชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อของอินเดียมีเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี และคนกลุ่มนี้ ก็ชอบอาหารไทย เพียงแต่ในอินเดียมีร้านอาหารไทยที่คนอินเดียเป็นเจ้าของ พ่อครัวและพนักงานเสิร์ฟยังเป็นคนอินเดีย ซึ่งหากมีร้านอาหารไทยแท้ๆ เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับจากคนกลุ่มที่เคยเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยอย่างแน่นอน” กรรมการ EXIM BANK ระบุ
ด้านนายชุตินทร คงศักดิ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี กล่าวว่า สถานทูตไทยในอินเดียพร้อมให้ความร่วมและช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย ทั้งในแง่ของข้อมูลการค้าและการลงทุน รวมถึงกฎระเบียบในการลงทุนของแต่ละรัฐ ซึ่งขณะนี้ มีผู้ประกอบการไทยในอินเดียเพียง 32 ราย จาก 26 รายเมื่อปี 2017 ขณะที่ มีนักลงทุนมาเลเซีย, เกาหลี และญี่ปุ่น อยู่ในอินเดียมากถึงกว่า 100 ราย, 700 ราย และ 1,350 รายตามลำดับ ทำให้เห็นโอกาสการลงทุนในอินเดียมากขึ้น เนื่องจากไทยและอินเดียมีความเชื่อมโยงด้านการค้าและการลงทุน ผ่านกรอบความร่วมมือทางการค้า FTA ไทย-อินเดีย และกรอบอาเซียน+6 ทำให้มีสินค้าเกือบ 100 รายการที่เสียภาษี 0%
ขณะที่ นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กก.ผจก. EXIM BANK กล่าวเสริมว่า นโยบายของผู้นำอินเดีย (นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรี ที่บริหารประเทศตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ในสมัยแรก และต่อเนื่องถึงสมัยที่ 2 อีก 4 ปีนับจากนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะยกระดับและพัฒนาประเทศ จนทำให้จีดีพีของอินเดียเติบโตในระดับมากกว่า 5% ในช่วงที่ผ่านมา และจะเติบโตในอัตรานี้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของอินเดียมีความเข้มแข็ง และมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยคาดว่าวอลุ่มการค้าระหว่างไทยและอินเดียจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30-40% ทั้งนี้ EXIM BANK พร้อมให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการไทย โดยเตรียมสินเชื่อไว้รองรับการค้าและการลงทุนในอินเดียเท่าที่มีความต้อง ซึ่งจะปล่อยกู้ให้ตั้งแต่ละ 2 – 40 ล้านบาทต่อราย ส่วนอัตราดอกเบี้ยขึ้นกับความเสี่ยงของธุรกิจ โดยดอกเบี้ยขั้นต่ำอยู่ที่ 4% ต่อปี และหากผู้ประกอบการที่มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น ก็พร้อมจะให้สินเชื่อได้เพิ่มขึ้นถึง 100 ล้านบาทต่อราย.