อินโดฯเน้นแก้ปัญหาความยากจนปีนี้
รัฐบาลอินโดนีเซียให้คำมั่นที่จะพยายามขจัดปัญหาความยากจนให้หมดไปและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในปี 2561 ผ่านการจ่ายเงินในโครงการให้ความช่วยเหลือทางสังคม และกองทุนหมู่บ้าน รวมถึงการขยายโครงการฝึกอบรมด้านอาชีพให้มากขึ้น
ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด หรือ โจโควี่ประกาศเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ว่า รัฐบาลจะเริ่มจ่ายเงินในส่วนกองทุนหมูบ้านและความช่วยเหลือทางสังคมได้ในเดือนม.ค.นี้
“ ผมเพิ่งได้ข่าวจากรัฐมนตรีคลังว่า เงินกองทุนหมูบ้านจำนวน 60 ล้านล้านรูเปียห์ (136,500 ล้านบาท) จะสามารถเบิกจ่ายได้ประมาณ 20% ในเดือนม.ค.นี้ ” ประธานาธิบดีโจโควี่กล่าวในทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงจาการ์ตาในวาระที่เขาเปิดการประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกของปี 2561 นี้
ผู้นำอินโดนีเซียย้ำว่า กองทุนหมู่บ้านจะสามารถเบิกจ่ายได้ทันที เพื่อให้หมู่บ้านสามารถเริ่มดำเนินการโครงการได้ตามลำดับ
ในปี 2560 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 47 ล้านล้านรูเปียห์สำหรับกองทุนหมู่บ้าน โดย 60% ของเงินจำนวนนี้สามารถกระจายไปถึงหมู่บ้านต่างๆ ได้ในเดือนเม.ย.และที่เหลืออีก 40% เบิกจ่ายได้ในเดือนส.ค.
ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ที่กำลังหางานทำ รัฐบาลมีโครงการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพให้ด้วย โจโควี่เสริม โดยรัฐบาลจะมุ่งส่งเสริมโครงการฝึกอบรมให้มากยิ่งขึ้น
โดยจะมีการออกใบรับรองให้กับผู้ที่เข้าร่วมฝึกอบรมทุกคน หลังจากผ่านการทดสอบประเมินผล ผู้นำอินโดนีเซียกล่าว
ในปี 2560 มีผู้มาเข้าร่วมฝึกอบรมในโครงการเสริมสร้างทักษะทางอาชีพทั้งหมด 6,201 คน ขณะที่มีผู้ได้รับใบประกาศรับรอง 5,635 คน
“ โครงการที่มีใบประกาศรับรองเริ่มต้นขึ้นแล้ว เราจะขยายโครงการหากมีดีมานด์จากอุตสาหกรรมเข้ามามากขึ้น ” เขากล่าว
สอดคล้องกับการประกาศของศรี มุลยานี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ประกาศว่า สามารถจัดเก็บภาษีได้ 1.34 ล้านล้านล้านล้านรูเปียห์ในปีที่แล้ว หรือประมาณ 91% ของจำนวน 1.45 ล้านล้านล้านล้านรูเปียห์ ซึ่งเป็นเป้าหมายงบประมาณของประเทศที่ตั้งไว้ในปี 2560
ขณะที่รัฐบาลมองว่าพลาดจากเป้าที่วางไว้ แต่รมว.ศรี มุลยานีกล่าวว่า ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่ดีที่สุดใน 3 ปีล่าสุด “ นี่เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 3 ปี ” เธอกล่าวในกรุงจาการ์ตาเมื่อวันที่ 2 ม.ค.
เธอกล่าวว่า การใช้จ่ายของรัฐบาลกับสินค้ามีประมาณ 96.8% และการใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือทางสังคมทำได้ตามเป้าคือ 100%
โดยเธอกล่าวว่า การใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือทางสังคมสร้างผลกระทบในแง่บวกคือเป็นการช่วยเหลือครอบครัวที่มีรายได้น้อยให้สามารถอยู่รอดได้ในสภาพเศรษฐกิจที่ยากลำบาก
ทั้งนี้ เธอยังชี้ว่า รัฐบาลมีตัวเลขขาดดุลงบประมาณอยู่ที่ 2.57% “ ซึ่งต่ำกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้คือ 2.92% ”