ทรัมป์คุมเข้มพรมแดนหลังคำสั่งแบนถูกระงับ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาได้ขอให้เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ดูแลพรมแดนสหรัฐฯ ตรวจสอบประชาชนที่ข้ามเข้ามาในสหรัฐฯ อย่างเข้มงวด เนื่องจากคำสั่งพิเศษของประธานาธิบดีที่แบน 7 ชาติมุสลิมเข้าสหรัฐฯ นั้นถูกศาลสั่งระงับ
โดยประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า คำตัดสินของศาลทำให้งานของเขายุ่งยากขึ้น และศาลควรต้องถูกตำหนิหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ศาลอุทธรณ์กลางตัดสินให้มีการยกคำร้องของคณะทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ยื่นอุทธรณ์ให้มีการนำคำสั่งแบน 7 ประเทศมุสลิมเข้าสหรัฐฯ กลับมาใช้อีกครั้ง
ทั้งนี้ คำสั่งแบน 7 ชาติมุสลิมของประธานาธิบดีทรัมป์ถูกระงับจากผู้พิพากษาศาลชั้นต้นกลางเมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา
ซึ่งหมายความว่า คำสั่งพิเศษของประธานาธิบดีทรัมป์ถูกเพิกถอนไป และผู้ถือวีซ่าจากอิรัก อิหร่าน ซีเรีย ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน และเยเมนยังได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯ ได้เหมือนเดิม
เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ประธานาธิบดีทรัมป์วิจารณ์คำตัดสินของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นเจมส์ โรบาร์ตที่ซีแอทเทิลซึ่งเป็นผู้ตัดสินให้ระงับคำสั่งพิเศษประธานาธิบดีที่ก่อให้เกิดความวุ่ยวายไปทั่ว
โดยประธานาธิบดีทรัมป์ทวีตข้อความต่อเนื่องกันรัวๆ บนทวิตเตอร์ว่า “ ผมได้แจ้งให้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิตรวจสอบผู้คนที่เดินทางเข้ามาในประเทศของเราอย่างเข้มงวดกวดขันที่สุด”
“ ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้พิพากษาคนหนึ่งจะนำพาประเทศเข้าสู่ความเสี่ยงภัยเช่นนี้ หากมีอะไรเกิดขึ้นก็ต้องโทษผู้พิพากษาและระบบยุติธรรม เพราะผู้คนจะหลั่งไหลกันเข้ามา แย่จริง” ก่อนหน้านี้ ผู้นำสหรัฐฯ วิจารณ์ว่าคำตัดสินของผู้พิพากษาโรบาร์ตช่างน่าขันสิ้นดี
โดย 2 รัฐที่ท้าทายคำสั่งผู้นำสหรัฐฯ ตั้งแต่แรกคือวอชิงตันและมินเนโซค้าได้โต้แย้งว่า คำสั่งแบน 7 ชาติมุสลิมนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ และปฏิเสธผู้คนซึ่งมีเอกสารแสดงสิทธิการเข้าเมืองที่ถูกต้อง นอกจากนี้ยังเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในทางศาสนาโดยตั้งเป้าเฉพาะมุสลิมอีกด้วย
คำสั่งจากศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 3 ก.พ.ส่งผลให้ผู้ถือวีซ่าจากทั้ง 7 ประเทศต่างรีบเร่งหาเที่ยวบินเพื่อเดินทางเข้าสหรัฐฯ ด้วยความกลัวว่าโอกาสที่จะได้เข้าสหรัฐฯของพวกเขาเหลือน้อยลง
กระทรวงต่างประเทศต้องทำตามคำสั่งศาลที่ไม่ให้มีการยกเลิกวีซ่าและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติตามคำสั่งศาล
ทั้งนี้ คำสั่งแบนมุสลิม 7 ประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายที่สนามบินทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศ รวมทั้งการชุมนุมประท้วงคำสั่งของผู้นำสหรัฐฯก็เกิดขึ้นทั้งในสหรัฐฯและในหลายประเทศเช่นกัน.