“ธนาธร” เสนอ ลงทุนใหญ่ 6.3 แสนล้าน พาไทย สู่ ประเทศพัฒนาแล้ว
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เสนอ ลงทุนใหญ่ 6.3 แสนล้าน พาไทย สู่ ประเทศพัฒนาแล้ว
(23 พ.ย.68) พรรคประชาชน จัดกิจกรรมรีชาร์จประชาชน ซึ่งภายในงานมีการเปิดตัวนโยบายด้านต่างๆ ของพรรคประชาชน เปิดนโยบายด้านคุณภาพชีวิต “คุณภาพชีวิตดีที่คนไทยคู่ควร” โดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เสนอโครงการระยะยาวของพรรคประชาชนที่เป็นการลงทุนขนาดใหญ่ โดยระบุว่าเวลาพูดถึงเมกะโปรเจกต์ คนมักนึกถึงสะพาน ตึก อะไรที่เป็นโครงสร้างใหญ่ แต่สำหรับพรรคประชาชน ประเทศไทยควรจะต้องกลับมาลงทุนกับคุณภาพชีวิตของคน

การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา แม้โดยภาพรวมยังเติบโตอยู่ แต่หากดูเป็นทศวรรษ ในทศวรรษ 2530 ประเทศไทยเติบโตโดยเฉลี่ย 7.3% ต่อปี, ทศวรรษ 2540 ประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 5.3% ต่อปี, ทศวรรษ 2550 ประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 3.2% ต่อปี และทศวรรษ 2560 ประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 2.0% ต่อปี แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังแข่งขันกับโลกไม่ได้ สะท้อนปัญหาที่สะสมมาเป็นระยะเวลานาน สภาวะแบบนี้แก้ยากกว่ายามที่มีวิกฤตเศรษฐกิจเฉพาะหน้าเสียอีก
นายธนาธรกล่าวต่อไปว่าปัญหาต่อมาคือสังคมสูงวัย หากนำเอาประชากรวัยทำงานเป็นตัวหาร นำเด็กและผู้สูงอายุเป็นตัวตั้ง ปี 2553 มีคนทำงาน 2.03 คนต่อการดูแลเด็กและผู้สูงอายุ 1 คน, ปี 2563 ลดลงเหลือ 1.86 คน, ปี 2573 ลดลงเหลือ 1.48 คน และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ในปี 2583 จะเหลือเพียง 1.26 คน นั่นหมายความว่าในอนาคตภาระจะตกอยู่ที่คนรุ่นต่อไป ที่จะต้องแบกรับการดูแลเด็กหรือผู้สูงอายุหนักขึ้น ประสิทธิภาพในการทำงานของคนไทยทุกคนต้องเพิ่มขึ้น 38% หรือต้องสร้างผลผลิตให้ได้มากขึ้น 38% ซึ่งไม่ได้ทำให้คนไทยรวยขึ้น แต่รวยเท่าเดิมเพื่อมารองรับกับสังคมสูงวัยในอนาคต
ขณะเดียวกันดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้รัฐ ในปี 2562 รัฐนำรายได้ 7.1% ไปใช้ในการจ่ายดอกเบี้ย ในปี 2572 ต้องใช้รายได้ 13.6% ไปจ่ายดอกเบี้ย หมายความว่าการลงทุนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไม่ก่อให้เกิดการเติบโตของรายได้ ทำให้เงินที่ประเทศไทยกู้มาเป็นสัดส่วนที่มากขึ้นของรายได้ มันสะท้อนว่าประเทศไทยลงทุนอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และการตรวจสอบที่ผ่านมาก็บ่งชี้แบบนั้น เช่น ตึกของรัฐที่สร้างขึ้นมาแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ แล้วถ้ายังใช้ต่อไปแบบมีประสิทธิภาพดอกเบี้ยก็จะขยับเพิ่มขึ้นไปอีก หมายความว่ารัฐบาลต่อไปจะต้องแบกภาระที่หนักมาก เงินเหลือไปพัฒนาน้อยลงเพราะต้องเอาเงินไปจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น
นายธนาธรกล่าวต่อไปว่าในอีกมุมหนึ่ง นั่นหมายความว่าต่อไปนี้เงินทุกบาทต้องลงทุนและใช้อย่างชาญฉลาด มีประสิทธิภาพ และสร้างผลการเติบโตในอนาคตให้กับประเทศได้จริง ไม่เช่นนั้นจะแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ประชาชนทุกวันนี้ไม่ชอบการจ่ายภาษี เพราะรู้สึกว่าจ่ายภาษีไปแล้วชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้นเลย จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต่อไปที่จะต้องทำให้การใช้จ่ายของภาครัฐเกิดการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน แก้ปัญหาสังคมได้ สร้างงานที่มีคุณภาพ สร้างอุตสาหกรรมใหม่ สร้างเทคโนโลยีของคนไทย และทำให้ประเทศไทยพร้อมรับมือสำหรับความท้าทายแห่งอนาคต
พรรคประชาชนจึงเสนอการลงทุนครั้งใหญ่ 630,000 ล้านบาทภายในเวลา 8 ปี เป็นการจัดการน้ำเสีย 60,000 ล้านบาท, น้ำประปาดื่มได้ 75,000 ล้านบาท, ขนส่งสาธารณะ 37,000 ล้านบาท, การจัดการขยะ 183,000 ล้านบาท, พัฒนาคุณภาพโรงเรียน 50,000 ล้านบาท, พัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล 30,000 ล้านบาท และสร้างโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ 192,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วได้ ตัวเลขอาจจะดูเยอะแต่หากนำไปหารด้วย 8 ปี ออกมาได้ปีหนึ่งไม่ถึง 80,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปได้ที่จะลงทุนและทำให้กลับมาสะท้อนเป็นคุณภาพชีวิตของคนไทย สร้างอุตสาหกรรมใหม่ และสร้างงานใหม่ได้
นายธนาธรยกตัวอย่างว่า เช่น เรื่องสมาร์ทกริด โดยภาพใหญ่ประเทศไทยมีเป้าหมายลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ในปี 2050 แผนของพรรคประชาชนคือในปี 2045 ให้มีการเลิกการใช้พลังงานจากถ่านหิน ในปี 2040 ให้มีโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ 100% ในปี 2035 ต้องทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาดพลังงานให้ได้ แต่ปัจจุบันอุตสาหกรรมพลังงานในประเทศไทยมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตมีส่วนผลิต และส่วนที่เป็นเจ้าของสายส่งแรงสูง และมีผู้ผลิตเอกชนที่ขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นเจ้าของสายส่งแรงต่ำ และเป็นคนเก็บเงินกับประชาชน เป็นโมเดลที่มีผู้ซื้อรายเดียว
การปฏิรูประบบพลังงานให้พร้อมรับมือกับอนาคต มีความเป็นธรรม และลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนได้ ต้องดึงส่วนที่เป็นสายส่งเข้ามาอยู่ที่เดียวกัน จัดการฝ่ายผลิตให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม และดึงส่วนที่เป็นการดูแลผู้บริโภคมารวมที่เดียวกัน จะเกิดการจัดหมวดหมู่อุตสาหกรรมใหม่ และทำให้เกิดตลาดพลังงานขึ้น ต่อไปใครผลิตและซื้อพลังงานไปเคาะราคากันที่ตลาดหุ้น ประชาชนเลือกได้เหมือนเลือกค่ายมือถือ ทำให้เกิดการแข่งขันโดยรัฐเป็นคนจัดการโครงข่ายการตลาดให้เป็นธรรม ก็จะทำให้ไม่มีการผูกขาดและอาศัยช่องว่างของการเป็นผู้ซื้อรายเดียวมากำหนดราคาไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรมและส่งผ่านให้ประชาชนได้อีก นอกจากนี้ในอนาคตบ้านใครที่มีโซลาร์เซลล์จะสามารถขายกลับมาให้สายส่งได้
นายธนาธรกล่าวต่อไปว่าการพัฒนากริดของประเทศไทยให้ซื้อขายไฟได้ ในหลายช่วงต่อของกริด จำเป็นที่ต้องมีการเปลี่ยนอุปกรณ์มากมายเพื่อรองรับสำหรับโครงข่ายไฟฟ้าแห่งอนาคต และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีการลงทุนในส่วนนี้ นโยบายของพรรคประชาชนคือการลงทุนโดยสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ให้สร้างสินค้าเหล่านี้แล้วผลิตในประเทศไทยเองได้ สร้างงานที่เมืองไทยและสร้างเทคโนโลยีที่เมืองไทย เช่น การเปลี่ยนให้เป็นสมาร์ทมิเตอร์ทั่วประเทศ การทำให้โครงข่ายไฟฟ้าเป็นระบบแบตเตอรี่ BESS โดยใช้เม็ดเงินลงทุนของภาครัฐส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมในประเทศไทย
อีกตัวอย่างคือการจัดการขยะในประเทศไทยซึ่งปัจจุบันเป็นแบบเทกอง ถ้าจะทำให้บ่อขยะทั่วประเทศได้มาตรฐานต้องจัดวิธีการทำงานใหม่ ถ้าจะจัดการขยะได้เหมือนต่างประเทศจำเป็นจะต้องสร้างคลัสเตอร์ขยะทั้งหมด 89 คลัสเตอร์ ปัจจุบันโรงขยะที่ได้มาตรฐานที่สุดของประเทศไทยใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศทั้งหมด แต่พรรคประชาชนไม่ต้องการเช่นนั้น ประเทศไทยต้องยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้สามารถผลิตโรงขยะแบบนี้เองได้ โดยเม็ดเงินลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาให้สังคมอย่างเดียว แต่จะสร้างงานให้คนไทยมีงานทำด้วย
นายธนาธร กล่าวต่อไปว่าระบบขนส่งสาธารณะก็เช่นกัน จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่อรายจ่ายของครัวเรือนโดยเฉลี่ยทั้งประเทศ ประชาชนคนไทยเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางประมาณ 20% ของค่าใช้จ่ายในครัวเรือนทั้งหมด แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วค่าใช้จ่ายในการเดินทางอยู่ที่ 13% การลงทุนในระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ คือสิ่งที่ส่งผลดีต่อประชาชนและถูกกว่าการตัดถนนเป็นอย่างมาก พรรคประชาชนมีโอกาสได้ทำแล้วที่ จ.ลำพูน ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2569 เป็นต้นไป อบจ. ลำพูนจะมีรถเมล์ไฟฟ้าวิ่งเชื่อมโยงเขตอุตสาหกรรม เขตเมืองเก่า และย่านพาณิชย์ใหม่เข้าหากัน โดยในชั่วโมงปกติจะมีรถ 30 นาทีต่อคัน ชั่วโมงเร่งด่วน 20 นาทีต่อคัน นอกจากนี้จะมีเส้นทางวิ่งระหว่างสนามบินเชียงใหม่มาถึงตัวเมืองลำพูนด้วย
ซึ่งถ้าประเทศไทยทำระบบขนส่งสาธารณะได้แบบนี้ทั่วประเทศ จะไม่เพียงเกิดทางเลือกในการเดินทางมากขึ้น แต่จะเกิดอุตสาหกรรมรถเมล์และความต่อเนื่องของอุตสาหกรรมเต็มไปหมด ตั้งแต่อุตสาหกรรมสถานีชาร์จ ผู้ให้บริการรถเมล์ ผู้ให้บริการข้อมูล ผู้ซ่อมบำรุง ซัพพลายเออร์ที่ส่งระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบ chassis ระบบตัวถัง ไปจนถึงแก้ว เหล็ก พลาสติก อลูมิเนียมที่ต้นน้ำ เป็นอุตสาหกรรมที่เมืองไทย มีบริษัทไทยที่เป็นผู้ผลิตรถเมล์ไฟฟ้า ที่เป็นเจ้าของแบรนด์และเทคโนโลยี แข่งขันกับโลกได้ในประเทศไทยด้วย
นายธนาธร กล่าวต่อไปว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าประเทศไทยไม่กล้าคิดอย่างทะเยอทะยาน เป้าหมายเหล่านี้จะไม่มีวันไปถึง หลายคนคิดแต่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ตนอยากขอให้โอกาสพรรคประชาชนดู นี่เป็นเวลาของการกล้าทะเยอทะยาน ว่าต่อไปเราจะไม่คืนน้ำเสียสู่ธรรมชาติอีก ในอนาคตน้ำประปาต้องดื่มได้ ผู้คนต้องมีทางเลือกในการเดินทางเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ ต้องไม่มีจัดการขยะอย่างปัจจุบันอีก โรงเรียนและโรงพยาบาลต้องพร้อมรับมือสำหรับอนาคต ดูแลผู้คนได้อย่างยั่งยืนและเป็นธรรม เครือข่ายไฟฟ้าของไทยต้องพร้อมรับมือภาวะโลกร้อนและทำให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม
นี่คือสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปหากพรรคประชาชนได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เข้ามาบริหารจัดการงบประมาณ งบประมาณจะไม่ถูกใช้อย่างสะเปะสะปะไม่มีเป้าหมาย ทำให้เกิดความคงเส้นคงวา และทำให้เป็นจริง เหตุผลที่ต้องใช้ 8 ปีเพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่ 4 ปีไม่จบแต่ 8 ปีเป็นไปได้ ขอให้ทุกคนร่วมเดินทางไปกับพวกเรา ให้กำลังใจ กล้าคิดอย่างทะเยอทะยานไปด้วยกัน



