สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 27 ก.ย. 68

1. สรุปสถานการณ์น้ำ และปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ : จ.พิษณุโลก (163 มม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.เลย (141 มม.) ภาคตะวันตก : จ.กาญจนบุรี (36 มม.) ภาคกลาง : จ.สระบุรี (69 มม.) ภาคตะวันออก : จ.ตราด (146 มม.) ภาคใต้ : จ.นราธิวาส (71 มม.)
สภาพอากาศวันนี้ : ร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือตอนล่างและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก
คาดการณ์ : ช่วงวันที่ 28 ก.ย. – 1 ต.ค. 68 ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก เนื่องจากร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและมีกำลังอ่อนลงเป็นปานกลาง ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ภาคใต้ และอ่าวไทยยังคงมีกำลังค่อนข้างแรง
พายุโซนร้อนกำลังแรง “บัวลอย” คาดว่าจะเคลื่อนเข้าสู่อ่าวตังเกี๋ย และจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนในช่วงวันที่ 29 – 30 ก.ย. และจะอ่อนกำลังเป็นพายุดีเปรสชันต่อไป
2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 79% ของความจุเก็บกัก (63,850 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 98% (39,714 ล้าน ลบ.ม.)
3. ข่าวประชาสัมพันธ์ : วานนี้ 26 ก.ย. 68 นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยในช่วงที่ผ่านมา สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันบริหารจัดการน้ำเพื่อลดผลกระทบจากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น “รากาซา” ซึ่งส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยมีการปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนขนาดใหญ่หลายแห่ง เพื่อป้องกันไม่ให้มวลน้ำจำนวนมากไหลมาสมทบยังเขื่อนเจ้าพระยา ที่ขณะนั้นยังคงมีปริมาณน้ำมาก และเนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์ในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลาย
กรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) คาดการณ์ว่า พายุโซนร้อน “บัวลอย” ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่บริเวณประเทศฟิลิปปินส์ และกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ประเทศเวียดนาม อาจส่งอิทธิพลทางอ้อมให้ช่วงปลายเดือนนี้มีฝนตกหนักในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย ซึ่งรวมถึงพื้นที่เหนือเขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนภูมิพล ที่ประชุมจึงได้หารือให้ทยอยเพิ่มอัตราการระบายน้ำของเขื่อนที่ได้ปรับลดลงก่อนหน้านี้ ให้กลับสู่อัตราปกติ โดยมีมติเห็นชอบเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันไดของเขื่อนสิริกิติ์ จาก 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 15 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และเขื่อนภูมิพล จาก 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 15 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อเตรียมพื้นที่ว่างรองรับน้ำและรักษาความมั่นคงของเขื่อน
ขณะเดียวกัน เขื่อนอุบลรัตน์ได้ทยอยเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันไดอย่างต่อเนื่อง โดยในวันนี้ได้ปรับเพิ่มถึงอัตรา 35 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และจะคงอัตราดังกล่าวต่อไปในระยะนี้ ซึ่งคณะกรรมการลุ่มน้ำชีได้มีการประชุมวางแนวทางเพื่อลดผลกระทบด้านท้ายน้ำ บริเวณจังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และยโสธร ไว้ล่วงหน้าแล้ว สำหรับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ที่มีแนวโน้มปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นใกล้เต็มระดับเก็บกักภายในต้นเดือนตุลาคม ยังจำเป็นต้องคงอัตราการระบายน้ำไว้ที่ ประมาณ 51.84 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน นอกจากนี้ ยังคงมีการติดตามสถานการณ์ฝนเหนือเขื่อนเจ้าพระยาอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับการระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากที่สุด พร้อมเพิ่มการระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกของเขื่อน เพื่อลดระดับน้ำในบางพื้นที่ของจังหวัดชัยนาทและอุทัยธานี รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะลงพื้นที่ดูแลและให้ความช่วยเหลือพื้นที่ได้รับผลกระทบด้านท้ายน้ำในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดอ่างทองอย่างต่อเนื่อง จนกว่าระดับน้ำจะกลับสู่ภาวะปกติ พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้เน้นย้ำเรื่องการแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมฉับพลันและดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ริมน้ำ พื้นที่ลาดเชิงเขา และภูเขา เพื่อรับมือกับฝนตกหนักช่วงปลายเดือนนี้
ทั้งนี้ สทนช. ได้ประสานการดำเนินงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อสนับสนุนชุดข้อมูลและเครื่องมือให้ท้องถิ่นและประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและบรรเทาความเดือดร้อนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ตามนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 26 ก.ย. 68