“วิสาร” เดินทางศึกษาดูงานท่าเรือโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น

นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญท่าเรือฯ สภาผู้แทนราษฎร และคณะ ได้เดินทางศึกษาดูงานท่าเรือโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น โดยมี Mr. Hisataka Uematsu ประธานของบริษัทท่าเรือโยโกฮาม่า (Yokohama Port Corporation – YPC) และคณะ ให้การต้อนรับ

นายวิสาร กล่าวว่าการศึกษาดูงานเพื่อความรู้กับบริษัทท่าเรือโยโกฮาม่า โดยมีเป้าหมายเพื่อนำโมเดลความสำเร็จมาปรับใช้ในการยกร่างพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ ในการเยือนครั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับแนวคิด “World Port” และ “City Port” ซึ่งเป็นต้นแบบการพัฒนาท่าเรือให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่เติบโตไปพร้อมกับเมืองและชุมชนได้อย่างลงตัว การเดินทางครั้งนี้จึงเป็นส่วนสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเพื่อยกระดับการท่าเรือแห่งประเทศไทยในหลายมิติ ทั้งการเป็นท่าเรือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและท่าเรืออัจฉริยะ การเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าที่เชื่อมโยงการขนส่งทุกรูปแบบ การพัฒนาท่าเรือสำราญเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และการพัฒนาบุคลากรให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง โดยข้อมูลที่ได้จากการศึกษาดูงานครั้งนี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้กระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และเป็นนิมิตหมายอันดีต่อการส่งเสริมอนาคตของอุตสาหกรรมท่าเรือต่อไป
ด้านนาย Hisataka Uematsu ประธาน Yokohama Port Corporation กล่าวว่าบริษัทรับผิดชอบบริหารศูนย์โลจิสติกส์ในท่าเรือโยโกฮาม่า และมุ่งสู่การเป็น Green Port การเปลี่ยนรูปแบบขนส่ง และการขนส่งทางน้ำ จากกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเรือสำราญ ท่าเรือโยโกฮาม่านั้น ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางและบริหารโดยเทศบาลเมือง โดยมีการวางแผนแม่บทและกฎหมายควบคู่กับการพัฒนาเมือง ตนหวังว่าจะได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมมือ พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากโยโกฮาม่ามาสนับสนุนการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่าเรือโยโกฮาม่าเป็นท่าเรือหลักที่สำคัญของญี่ปุ่น เปิดดำเนินการมากว่า 150 ปี มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว ในปี 2567 ท่าเรือแห่งนี้มีปริมาณสินค้าผ่านท่ารวมประมาณ 101 ล้านตัน มีเรือเดินสมุทรเทียบท่า 8,602 เที่ยวต่อปี และเรือชายฝั่ง 18,810 เที่ยวต่อปี

โครงสร้างองค์กรของท่าเรือโยโกฮาม่าอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักการท่าเรือและท่าเรือโยโกฮาม่า (Port and Harbor Bureau, City of Yokohama) ซึ่งเป็นหน่วยงานของเทศบาลนครโยโกฮาม่า ไม่ใช่รัฐบาลกลาง โดยแบ่งฝ่ายงานชัดเจน เช่น ฝ่ายนโยบาย ฝ่ายโลจิสติกส์ ฝ่ายพัฒนาเมือง ฝ่ายก่อสร้าง ฝ่ายบริหารจัดการทรัพย์สิน เป็นต้น การบริหารจัดการแบบกระจายอำนาจนี้ ทำให้เกิดความคล่องตัวและตอบสนองต่อความต้องการของพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว
การพัฒนาเมืองและท่าเรือโยโกฮาม่าดำเนินไปควบคู่กันอย่างเป็นระบบ โดยใช้กฎหมายผังเมืองและกฎหมายท่าเรือในการกำหนดขอบเขตและการใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมถึงแผนพัฒนาระยะกลาง 4 ปีที่บูรณาการทั้งในเชิงกายภาพและเชิงนโยบาย ผ่านการอนุมัติงบประมาณจากสภาเทศบาลและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประชาชน นอกจากนี้ยังมีแผนแม่บทสำหรับพัฒนาพื้นที่ริมน้ำและแผนการใช้ที่ดินบริเวณท่าเรืออย่างเหมาะสม
ท่าเรือโยโกฮาม่าได้เปลี่ยนแปลงบทบาทจากเมืองอุตสาหกรรมหนัก สู่เมืองที่ผสมผสานระหว่างโลจิสติกส์ พาณิชย์ การท่องเที่ยว และพื้นที่สีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือโครงการมินาโตะมิไร 21 ซึ่งเป็นการฟื้นฟูพื้นที่อุตสาหกรรมเก่า เช่น อู่ต่อเรือมิตซูบิชิ ให้กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจ การท่องเที่ยว และวัฒนธรรมระดับโลก โดยเน้นการสร้างสมดุลระหว่างพื้นที่พาณิชย์ พื้นที่สาธารณะ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เดิมทีเมืองโยโกฮาม่าประสบปัญหามลพิษทางอากาศและจราจรติดขัดจากรถบรรทุกสินค้า และการใช้พื้นที่อุตสาหกรรมในเขตเมืองสร้างข้อจำกัดต่อการเติบโตของเมือง แต่ด้วยการวางแผนผังเมืองและการย้ายกิจกรรมอุตสาหกรรมออกนอกเขตเมือง ทำให้สามารถพัฒนาเมืองในมิติใหม่ได้ ปัจจุบันยังคงมีความท้าทาย เช่น การปรับตัวต่อขนาดเรือที่ใหญ่ขึ้น การเปลี่ยนแปลงของโลจิสติกส์สมัยใหม่ การดึงดูดแรงงานรุ่นใหม่เข้าสู่อุตสาหกรรมท่าเรือ และการสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับบทบาทของท่าเรือ
เครือข่ายขนส่งของท่าเรือโยโกฮาม่ามีความทันสมัยและครอบคลุมทั้งทางบก ทางน้ำ และทางราง เชื่อมต่อกับทางด่วนหลัก สถานีรถไฟ และระบบขนส่งสาธารณะในเมือง มีการพัฒนาท่าเทียบเรือสำหรับเรือคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ ท่าเรือสำหรับส่งออกรถยนต์ และท่าเทียบเรือสำราญที่สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ได้พร้อมกันถึง 7 ลำ ขนาดท่าเรือรวมทั้งสิ้น 10,155 เฮกตาร์ หรือประมาณ 63,469 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่น้ำ 7,218 เฮกตาร์ หรือประมาณ 45,112 ไร่ และพื้นที่ริมน้ำ 2,937 เฮกตาร์ หรือประมาณ 18,357 ไร่
รายได้หลักของท่าเรือโยโกฮาม่ามาจากค่าธรรมเนียมการเข้าเทียบท่า ค่าธรรมเนียมการใช้พื้นที่น้ำและที่ดิน ค่าธรรมเนียมการใช้สิ่งปลูกสร้าง รวมถึงรายได้จากการขายทรัพย์สิน ในปี 2566 มีรายได้รวมประมาณ 19,545 ล้านเยน หรือประมาณ 4,900 ล้านบาท (ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 เยน = 2.5 บาท) โดยแบ่งเป็นรายได้ประจำ 14,835 ล้านเยน (ประมาณ 3,700 ล้านบาท) และรายได้จากการขายทรัพย์สิน 4,709 ล้านเยน (ประมาณ 1,180 ล้านบาท)
ท่าเรือโยโกฮาม่ามีความร่วมมือกับท่าเรือสำคัญหลายแห่งในญี่ปุ่น เช่น ท่าเรือโทมากโกไม เซนได นาโกย่า ฮากาตะ ฯลฯ และมีเส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศกว่า 95 เส้นทาง ครอบคลุมเอเชีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย และยุโรป พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์และระบบ IoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระบบโลจิสติกส์

นวัตกรรมสำคัญที่ท่าเรือโยโกฮาม่านำมาใช้ เช่น ระบบจองคิวรถบรรทุก CONPAS (Container Fast Pass) ที่ช่วยกระจายเวลาการเข้าออก ลดเวลารอคิวจากเฉลี่ย 30 นาที เหลือเพียง 7 นาที โครงการลดการปล่อยคาร์บอนโดยส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และการพัฒนาระบบป้องกันภัยพิบัติ เช่น การซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงของแนวป้องกันชายฝั่งที่ได้รับความเสียหายจากไต้ฝุ่น
จากการศึกษาดูงานในครั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้ข้อคิดสำคัญที่สามารถนำมาปรับใช้กับการพัฒนากฎหมายท่าเรือในประเทศไทย เช่น การบริหารจัดการแบบกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีบทบาทนำ การวางแผนผังเมืองควบคู่กับการพัฒนาท่าเรือเพื่อให้เกิดความสมดุลด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน และการพัฒนาท่าเรือให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการท่องเที่ยว ไม่ใช่เพียงศูนย์กลางการขนส่งสินค้าเท่านั้น
ท่าเรือโยโกฮาม่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาท่าเรือควบคู่กับเมืองอย่างยั่งยืน มีการบริหารจัดการที่เป็นระบบ มีนโยบายและกฎหมายสนับสนุน มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอดจนการสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเทศไทยสามารถนำบทเรียนเหล่านี้มาปรับใช้ในการพัฒนาท่าเรือและเมืองท่าในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “วิสาร” นำคณะศึกษาโครงการ Land Bridge