เพื่อไทยแตก เสื้อแดงทิ้งบอมบ์-บ้านใหญ่ทิ้งพรรค
พรรคเพื่อไทย ออกอาการระส่ำ-เกิดรอยร้าวฝังลึก หลังจาก ขุนพลเสื้อแดง-ขุนศึกบ้านใหญ่ ย่านบางบอน ออกมาทิ้งบอมบ์ตึกไทยคู่ฟ้า-ทิ้งพรรค หลังจากเดินสวนทางกลยุทธ์การเมือง-กลวิธีการบริหารบ้านเมือง
การชนะสนามเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ที่จังหวัดปทุมธานีแบบ “เฉียดฉิว” และสุดท้ายกลับ “แพ้ฟาวล์” สอบตกคุณสมบัติ สะท้อนให้เห็น “เรตติ้ง” ของพรรคเพื่อไทยยัง “กู่ไม่กลับ” หลังจากไม่ชนะการเลือกตั้งระดับประเทศ-ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 ครั้งแรกในรอบ 22 ปี ประกอบกับการบริหารประเทศของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ที่ยัง “พายเรืออยู่ในอ่าง” ทำงานมากว่า 10 เดือน กำลังจะครบ 1 ปี แต่ยังไม่มีผลงานที่เป็นรูปธรรม-จับต้องไม่ได้ ทำแต่งาน “รูทีน” ลดค่าน้ำ-ค่าไฟ พยุงราคาน้ำมัน ขณะที่ “นโยบายเรือธง” ยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน เงินดิจิทัลวอลเล็ต ยังไม่มีเงินมากองตรงหน้าสักบาท เมกะโปรเจกต์อย่าง “แลนด์บริดจ์” กำลังจะกลายเป็น “ระเบิดเวลา” โดนต่อต้านรุนแรง
บ้านใหญ่บางบอนทิ้งพรรคเพื่อไทย
“วัน อยู่บำรุง” อดีต สส.พรรคเพื่อไทย ทายาทขุนศึกฝั่งธน “บ้านริมคลอง” ของ “ป๋าเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเพื่อไทย กัดฟัน-กลืนเลือด ตัดสินใจ ไขก๊อก-เซ็นใบลาออก จากตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข และเตรียมที่ “โบกมือลา” สถานะสมาชิกพรรคเพื่อไทยในสัปดาห์หน้า หลังจากโดน “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เรียกเข้า “ห้องเย็น” ตักเตือนการวางตัว-พฤติกรรมสวนทางกับ “ท่าที” ของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้ง “นายกอบจ.ปทุมธานี” หลังจากปรากฏภาพเจ้าของสโลแกน “ใจถึง พึ่งได้” ไปร่วมลุ้น “บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ป้องกันแชมป์เลือกตั้งนายกอบจ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นคู่แข่งของ “ลุงชาญใจดี” ที่พรรคเพื่อไทยถือหาง-เป็นผู้สนับสนุนหลัก
ร้อนไปถึง “พ่อบังเกิดเกล้า” อย่าง “ป๋าเหลิม” ที่ควันออกหู จนต้องออกมา “ท้ารบ” พรรคเพื่อไทยท้าทายให้ “ขับออก” จากพรรค เพราะที่ผ่านมา “ผีไม่เผา พรรคไม่เหยียบ” เพื่อเปิดทางไป “สังกัดพรรคใหม่” ที่ว่ากันว่า “พรรคสีน้ำเงิน” อ้าแขน-ปูพรมน้ำเงิน รอรับเข้าพรรค ซึ่งไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์ เพราะที่ผ่านมามีกระแสข่าวกระทบกระทั่งกับพรรคเพื่อไทย ถึงขั้น “ตัดขาด” กับ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มีอิทธิพลของพรรค รวมไปถึงการไม่สังคายนาในวันที่ต้องโหวต “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมี “ข้ออ้าง” ว่าเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
เสื้อแดงทิ้งบอมบ์ทำเนียบรัฐบาล
ไล่เลี่ยกัน อดีตขุนพลเสื้อแดง “วรชัย เหมะ” ที่ปรึกษาของ “สหายใหญ่” นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย-รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ออกกระทุ้งการทำงานของนายเศรษฐาให้ “เลิกลงพื้นที่” ไม่ออกเดินสายไปต่างจังหวัด และให้นั่งนิ่ง ๆ แก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชน เพราะบริหารงานมากว่า 10 เดือน แต่ยังไม่มีผลงานที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ ลุกลามกลายเป็นรอยร้าว-ลงลึก เมื่อ “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช “นายกน้อย” ออกมากางปีกปกป้อง “เศรษฐา” จนโดน “สวนกลับ” จนนายเศรษฐาต้องเรียก “รัฐมนตรีเพื่อไทย” ให้มาสุมหัวคิดหาทางแก้เกม-เปิดประตูฉุกเฉิน บนตึกไทยคู่ฟ้า ตัดไฟเสียแต่ต้นลมก่อนที่จะกลายเป็นไฟลามทุ่ง-น้ำผึ้งหยดเดียว
ขณะที่แกนนำคนเสื้อแดง “ตัวพ่อ” อย่าง “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานคนเสื้อแดง ที่ “เดินแยกทาง” กับพรรคเพื่อไทย กลายเป็น “หอกข้างแคร่” ของนายทักษิณอยู่ขณะนี้ และเป็น “ขาประจำ” มีช่องยูทูป-รายการทอล์กการเมืองของตัวเอง คอยออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของพรรคเพื่อไทย-รัฐบาลเศรษฐารายวัน ทั้งการให้ “แก้กฎหมาย” เพื่อเปิดทางให้ต่างชาติ “เช่าที่ดิน 100 ปี” และการให้ต่างชาติซื้อห้องชุดเกิน 49 % หรือ ถือครองห้องชุดได้ถึง 74 % สุ่มเสี่ยงเป็นนโยบายที่มี “ผลประโยชน์ทับซ้อน”
เสนาบดี-นายพล “คนเคยรัก” มองหน้าไม่ติด
นอกจากคนเก่าแก่-คนเสื้อแดงที่เคยร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่สู้รบทางการเมือง ทั้งในสภา-บนท้องถนน เล่นจริง-เจ็บจริง เข้าคุกจริง-ตายจริง ที่ต้องรักษาระยะห่างกับพรรคเพื่อไทยและศูนย์กลางอำนาจ ทำเนียบรัฐบาลแล้ว ยังมี “นายพล” ที่เคยเป็น “กุนซือความมั่นคง” อย่าง “เสธ.แมว” พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการ สมช. สมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่แม้จะมี “สายสัมพันธ์” ตั้งแต่สมัย “รุ่นพ่อ” แต่ก็ต้องมาระหองระแหงหลังจากพรรคเพื่อไทย “ตระบัดสัตย์” ไปจับมือกับ “พรรคทหาร” ตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว
นับรวมถึงรัฐมนตรีใน “ครม.เศรษฐา1” ที่โดน “ปรับออก” แบบ “ไม่ให้เกียรติ” ทั้ง “ปานปรีย์ หิทธานุกร” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ลาออก “ฟ้าแลบ” หลังจากโดนปรับออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีชนิด “ฟ้าผ่า” และ “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่โดนปรับออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หลังจากยอม “พลีชีพ” ทางการเมืองตระบัดสัตย์ จับมือกับ “พรรคสองลุง” จน “มองหน้าไม่สนิท” โลว์โปรไฟล์-ลดบทบาททั้งในรัฐบาลและเวทีสภา
พรรคเพื่อไทยเปรียบเสมือนเป็น “ทีมฟุตบอล” ที่ผลการแข่งขันไม่เป็นใจ โดนริบชัยชนะ-ฟอร์มการเล่นไม่ดี “ลูกทีม” โยนความผิด-โทษกันเอง รอเวลา “ทีมแตก”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ไปอีก 1 ‘ทัศนีย์’ โบกมือลาพรรคเพื่อไทย