เสนอฟื้นฟูจิตใจเด็กผู้อพยพที่ถูกพรากจากพ่อแม่
เมื่อวันที่ 12 ก.ค.กลุ่มสิทธิพลเมืองร้องขอให้ผู้พิพากษากลางสั่งให้รัฐบาลสหรัฐฯจัดหาที่ปรึกษาทางสุขภาพจิตสำหรับเด็กๆผู้อพยพประมาณ 2,000 คนที่ถูกพรากจากพ่อแม่โดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯที่พรมแดนเม็กซิโก
โดยคำขอจากสหภาพเพื่อเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (ACLU) มีขึ้นหลังจากสัปดาห์ที่วุ่นวายโกลาหลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งศาลได้ทันตามกำหนดเมื่อวันที่ 10 ก.ค.ในการนำเด็กๆผู้อพยพอายุต่ำกว่า 5 ปีกลับมาอยู่กับครอบครัว
รัฐบาลต้องจัดตั้งกองทุนเพื่อจ่ายให้กับที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิตที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ในการดูแลรักษาเด็กๆที่ต้องทุกข์ทรมานทางจิตใจจากผลของการต้องถูกพรากจากพ่อแม่ของพวกเขา อ้างอิงจากเอกสารของทาง ACLU ที่ยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อวันที่ 12 ก.ค. โดยทางกลุ่มระบุว่า ค่าใช้จ่ายของกองทุนจะมีการกำหนดในอนาคต
ทางกลุ่มสิทธินำเรื่องยื่นฟ้องทางกฎหมายต่อผู้พิพากษาสหรัฐฯ Dana Sabraw ในซานดิเอโกเมื่อเดือนมิ.ย.เพื่อมีคำสั่งให้รัฐบาลจัดการพาครอบครัวผู้อพยพที่ถูกแยกจากกันกลับมาอยู่ด้วยกัน
ปฏิบัติการแยกครอบครัวผู้อพยพเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย ‘ความอดทนเป็นศูนย์‘ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่จะจัดการขั้นเด็ดขาดกับผู้อพยพเข้าสหรัฐฯอย่างผิดกฎหมาย โดยมีการระงับปฏิบัติการในเดือนมิ.ย.หลังมีการประท้วงนโยบายนี้ไปทั่วสหรัฐฯ
ทางรัฐบาล ซึ่งยื่นคำร้องต่อศาลในวันที่ 12 ก.ค.โดยระบุว่า ผิดพลาดในการนำตัวเด็กๆมาพบกับผู้ปกครองให้ทันตามกำหนดในวันที่ 10 ก.ค. แต่ตอนนี้ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้พิพากษา
อย่างไรก็ตาม ยังมีเด็กวัยต่ำกว่า 5 ปี ถึง 46 คนจาก 103 คน ที่ยังคงแยกจากผู้ปกครองจากความกังวลด้านความปลอดภัย การขับผู้ปกครองของพวกเขาออกนอกประเทศและประเด็นอื่นๆ อ้างอิงจากเอกสารของทางศาล
นอกจากเรื่องการฟื้นฟูสภาพจิตใจ ทางกลุ่มสิทธิยังได้ขอให้ผู้พิพากษาสั่งให้รัฐบาลชี้แจงข้อมูลโดยละเอียดภายในวันที่ 16 ก.ค.เกี่ยวกับเด็กทั้งหมดที่ยังไม่ได้พบกับพ่อแม่ และเร่งตรวจสอบประวัติและพิสูจน์ความสัมพันธ์ของครอบครัว
โดยรัฐบาลในปัจจุบันต้องนำผู้ปกครองและเด็กๆที่ตกค้างประมาณ 2,000 คนมาอยู่ด้วยกันภายในวันที่ 26 ก.ค.
ปัญหาของรัฐบาลในการดิ้นรนนำเด็กๆอายุต่ำกว่า 5 ปีมาพบกับผู้ปกครอง ก่อให้เกิดการตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของแผนปฏิบัติการในการนำเด็กๆผู้อพยพและครอบครัวที่เหลือมารวมตัวกัน
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองระบุว่า กระบวนการช้าลงเพราะการตรวจสอบประวัติ และเอกสารของศาลเมื่อวันที่ 12 ก.ค. เนื่องจากได้ตรวจสอบพบว่าผู้ปกครองรายหนึ่งมีหมายจับคดีฆาตกรรมในกัวเตมาลา และอีกหลายรายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีละเมิดกฎหมายการค้ามนุษย์ ขณะที่ผู้ปกครองรายอื่นๆถูกห้ามไม่ให้พบลูกๆจากคดีละเมิดกฎหมายที่ร้ายแรงน้อยกว่า เช่น ดื่มแล้วขับ
“จากกระบวนการนำครอบครัวมารวมตัวกัน เป้าหมายของเราสำเร็จลุล่วงด้วยการนำเด็กๆมาพบผู้ปกครองในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย” Kirstjen Nielsen เลขานุการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ Jeff Sessions อัยการสูงสุด และ Alex Azar รมว.กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ระบุในแถลงการณ์
“เห็นได้อย่างชัดเจนว่ากระบวนการพาเด็กๆมาพบกับผู้ปกครองเป็นเรื่องวุ่นวายและมีค่าใช้จ่าย” Beth Krause ที่ปรึกษากฎหมายของโครงการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายกับผู้อพยพรุ่นเยาว์ระบุในแถลงการณ์.