การค้าสหรัฐฯ-ยุโรปตึงเครียดขึ้น
การค้าระหว่างสหรัฐฯและสหภาพยุโรปมีมูลค่ากว่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นความสัมพันธ์การค้าทวิภาคีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
มีสินค้าและบริการของสหรัฐฯมูลค่า 528,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกส่งขายในยุโรปในปีที่ผ่านมา อ้างอิงจากสำนักสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ ขณะที่ธุรกิจมากมายไหลเข้าในทิศทางตรงกันข้ามเช่นกัน อ้างอิงจากข้อมูลของสหรัฐฯ ยุโรปขายสินค้าและบริการมูลค่า 629,000 ล้านดอลลาร์ให้สหรัฐฯในปี 2560
โดยการค้าที่มีมูลค่ามากที่สุดระหว่างสองตลาดคือเครื่องจักรและอุปกรณ์ในการคมนาคมขนส่ง รองลงมาคือเคมีภัณฑ์ อ้างอิงจากคณะกรรมาธิการยุโรป ทำให้สหรัฐฯขาดดุลการค้ากับยุโรปถึง 101,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากข้อมูลของทางสหรัฐฯ
ข้อมูลของทางอียูก็ให้ภาพของความสัมพันธ์ที่เหมือนกัน โดยทางอียูประเมินว่า อียูได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯประมาณ 130,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การค้าที่ไม่สมดุลเป็นเป้าหมายสำคัญของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ต้องการแก้ไข โดยเขาทวีตข้อความบนทวิตเตอร์เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ว่า สหภาพยุโรปทำให้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเกษตรกรและแรงงานและบริษัทของเราที่จะทำธุรกิจ
แม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะบ่นเกี่ยวกับอุปสรรคทางการค้าของอียู แต่อัตราภาษีเฉลี่ยที่จัดเก็บกับอีกฝ่ายค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว โดยข้อมูลขององค์การการค้าโลกแสดงให้เห็นว่าสินค้าที่ส่งจากสหภาพยุโรปไปสหรัฐฯ ถูกสหรัฐฯจัดเก็บภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ 1.4% ขณะที่ยุโรปจัดเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯในอัตรา 1.9%
ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจัดเก็บภาษีอัตราสูงกับสินค้าของอีกฝ่ายบางรายการที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น อียูเก็บภาษี 10% กับรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐฯ แต่ 85% ของรถยนต์ที่ประกอบในสหรัฐฯ และส่งขายในยุโรปได้รับการยกเว้นภาษีเพราะใช้ชิ้นส่วนจากยุโรป
“ เป็นความจริงที่ว่า เราเก็บภาษีรถยนต์สูงกว่าสหรัฐฯ นิดหน่อย แต่มีบางรายการที่ภาษีสูงมาก เช่น รถกระบะ รองเท้า หรือเสื้อผ้า โดยรวมแล้ว ภาษีระหว่างเราเป็นจำนวนน้อยแต่ว่าพีค ” Cecilia Malmstrom คณะกรรมาธิการการค้าอียูกล่าวกับสื่อ CNN เมื่อเดือนมิ.ย.
อ้างอิงจากการประเมินของอียู เงินทุนโดยตรงจากอียูที่ไหลเข้าสหรัฐฯอยู่ที่ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2559 ขณะที่เม็ดเงินลงทุนในอียูจากสหรัฐฯ ก็มีจำนวนเกือบเท่ากัน
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ยุโรป ทั้ง BMW โฟล์คสวาเก้น และเมอร์ซีเดสเบนซ์ ซึ่งมีเจ้าของคือเดมเลอร์ ล้วนแต่มีโรงงานในสหรัฐฯ ธนาคารอเมริกันชั้นนำและบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินก็ยังไปได้ดีในกรุงลอนดอน
ทั้งนี้ การตัดสินใจของทรัมป์ที่ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ทำให้เกิดปฏิกริยาโต้ตอบด้วยการขึ้นภาษีเช่นกันจากอียู โดยสินค้าที่อยู่แถวหน้าของความขัดแย้งทางการค้าคือรถยนต์ และผู้นำสหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษี 20% กับรถยนต์ที่ส่งออกจากยุโรปไปสหรัฐฯ
รถยนต์มูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกส่งจากอียูไปขายสหรัฐฯ ในแต่ละปี ขณะที่อียูจะตอบโต้ด้วยภาษีใหม่กับสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น เคมีภัณฑ์ ยานอวกาศ และสินค้าเกษตรกรรม.