YOGURT TRUCK รสชาติโดนใจ
ด้วยความที่มีต้นทุนทางด้านการทำอาหารมาเป็นอย่างดี จากพื้นฐานทางบ้านที่ทำกิจการเกี่ยวกับร้านอาหาร และตนเองที่เรียนจบการศึกษาทางด้านการทำอาหาร เมื่อร่ำเรียนศาสตร์แห่งการทำอาหารจนสำเร็จก็มาทำงานอยู่ร้านอาหารเกี่ยวกับทางด้านของขนมหวาน
ได้กลายเป็นแรงผลักให้คนหนุ่มไฟแรงอย่างสุทธิรักษ์ ถูวัดสี เกิดแนวคิดที่จะทำธุรกิจเป็นของตนเอง ภายใต้องค์ความรู้ที่ตนเองถนัด
สุทธิรักษ์ บอกว่า ไอศครีมคือความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวเมื่อมีแนวคิดเริ่มต้นที่จะทำธุรกิจเป็นของตนเอง เนื่องจากตนมีพื้นฐานทางด้านดังกล่าวสามารถทำไอศครีมได้อยู่แล้ว ซึ่งโจทย์ในลำดับถัดมาที่ตีจนแตกก็คือจะต้องทำเป็นไอศครีมเพื่อสุขภาพ รับประทานแล้วไม่อ้วน เพื่อตอบรับกับกระแสรักสุขภาพตามไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน บูธไอศครีมของสุทธิรักษ์จึงเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มีศึกษาพฤตกรรมของผู้บริโภค ทำให้รู้ว่าไอศครีมสามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้เพียงแค่ระยะเวลาไม่นาน และกลุ่มลูกค้าก็ไม่กว้างขวางมาก โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นที่ให้ความสนใจแค่กลุ่มเดียว ดังนั้น จึงกลับมาทบทวนว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคุลมกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น แต่ยังไม่ทิ้งแนวคิดการเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ โยเกิร์ต (Yogurt) จึงเป็นผลิตภัณฑ์ในลำดับถัดมาที่สุทธิรักษ์เชื่อว่าจะตอบโจทย์ทางการตลาดได้เป็นอย่างดี
นอกจากผลิตภัณฑ์ที่จะต้องถูกใจผู้บริโภคแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกของร้านก็ต้องดูโดดเด่น แนวคิดของการนำรถมาใช้เป็นร้านค้าภายใต้คอนเซปป์ฟู๊ดทรัค (Food Truck) จึงค่อยๆคืบคลานเข้ามาตามกระแสนิยม ธุรกิจ Yogurt Truck จึงเกิดขึ้น โดยมีสุทธิรักษ์เป็นผู้ควบคุม และดูแล
คุณภาพเกินราคา หากถามถึงจุดเด่นของผลิตภัณฑ์แน่นอนว่าสุทธิรักษ์ยกให้เรื่องของสุขภาพมาเป็นอันดับแรก เพราะโยเกิร์ตที่ภูมิใจนำเสนอเป็นแบบไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย อีกทั้งด้วยความที่ทางบ้านเป็นร้านอาหาร ทำให้มีข้อได้เปรียบเรื่องของการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศได้ในราคาที่ไม่แพงมาก ทำให้สามารถจำหน่ายโยเกิร์ตได้ในราคาที่ลูกค้าสบายกระเป๋า แต่คุณภาพล้นเกินราคา ด้วยวัตถุดิบหลักในการผลิตที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผงโยเกิร์ตจากประเทศอิตาลี ,นมผง (Skim milk) จากประเทศนิวซีแลนด์ และรสชาติชาเขียว หรือชาโคลจากประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
“ ราคาที่จำหน่ายของโยเกิร์ตในรูปแบบเดียวกับที่ขายอยู่ หากเป็นร้านที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้าจะขายเป็นกรัม ซึ่งราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 50-80 บาท แต่ของเราจะจำหน่ายที่ถ้วยละ 59 บาท ซึ่งหากนำมาเทียบในปริมาณที่เท่ากันราคาที่จำหน่ายอยู่ในห้างจะอยู่ที่ประมาณ 150 บาทขึ้นไป นี่จึงเป็นทั้งข้อได้เปรียบและจุดเด่นของ Yogurt Truck ที่ลูกค้าจะได้รับ ”
สำหรับช่องทางในการจำหน่ายนั้น ปัจจุบัน Yogurt Truck มีเปิดให้บริการเพียงสาขาเดียวที่ตลาดนัดเจเจ กรีน (JJ Green) โดยที่ผ่านมาก็มีลูกค้าให้ความสนใจ และติดต่อขอเป็นตัวแทนจำหน่าย หรือขอซื้อแฟรนไชน์เพื่อไปทำธุรกิจต่ออยู่เป็นจำนวนมาก
เน้นออนไลน์ขยายฐานลูกค้า ด้านกลยุทธ์ทางการตลาด สุทธิรักษ์มุ่งเน้นไปที่การประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยใช้ช่องทางของการสร้างเพจร้านบนพื้นที่ของเฟสบุ๊ก (Facebook) เพื่ออัพเดทความเคลื่อนไหวของร้านให้ลูกค้าได้รับรู้ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่แทบจะไม่ต้องใช้เงินทุน แต่สามารถหวังผลได้วงกว้าง นอกจากนี้อีกช่องทางหนึ่งก็คือการออกงานอีเว้นท์ต่างๆ รวมถึงงานแฟร์แสดงสินค้า ซึ่งจะมีลูกค้าหลากหลายกลุ่มที่เข้ามาชมงาน ทำให้ Yogurt Truck ได้เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าเพิ่มมากขึ้น หรือเรียกว่าเป็นการโปรโมทร้านไปในตัว
อย่างไรก็ตาม จากการที่ออกแบบร้านให้เป็นรูปแบบของ Food Truck ยังเป็นจุดที่ช่วยดึงดูดความสนใจจากลูกค้าให้เข้ามารับประทานโยเกิร์ตของร้าน และช่วยประชาสัมพันธ์ผ่านการถ่ายรูปเก๋ๆกับร้าน นำไปแชร์ลงบนพื้นที่ส่วนตัวของลูกค้า ทำให้มีกลุ่มเพื่อนที่ติดตามสนใจอยากทดลองรับประทาน โดยถือเป็นการช่วยโปรโมทร้านได้เป็นอย่างดี อีกทั้งด้วยรสชาติและคุณภาพที่เราตั้งใจทำออกมา ยังเป็นการช่วยส่งต่อกลยุทธ์ทางการตลาดแบบปากต่อปากให้กับกลุ่มลูกค้าใหม่ได้อีกด้วย
“ กลุ่มลูกค้าหลักของ Yogurt Truck ในปัจจุบันคือกลุ่มของวัยรุ่น และพนักงานออฟฟิตผู้หญิงที่ชอบรับประทานโยเกิร์ตเพื่อรักษาสุขภาพ และลูกค้าที่ชอบทดลองอะไรแปลกใหม่ ”
สร้างฐานรากที่มั่นคงก่อนขยายตลาด สุทธิรักษ์ ยังได้บอกถึงเป้าหมายของธุรกิจ และทิศทางที่จะเดินไปในอนาคตอีกว่า ขณะนี้กำลังมองหาช่องทางในการขยายพื้นที่ของการให้บริการ โดยเล็งตลาดนัดกลางคืนแห่งอื่นเอาไว้หลายพื้นที่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะต้องพิจารณาให้รอบครอบ และถ้วนถี่ก่อนที่จะไปเปิดให้บริการว่ามีกลุ่มลูกค้าที่เหมาะกับผลิตภัณฑ์ของ Yogurt Truck หรือไม่ โดยการทำธุรกิจจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เน้นการรักษามาตรฐานของรสชาติ และการให้บริการเป็นสำคัญ เพื่อรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่เดิมให้มั่นคง
หลังจากนั้น เมื่อมีฐานรากของลูกค้าที่มั่นคงแล้ว การขยายตลาดออกไปก็จะเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ไม่ยาก จากจุดเด่นเรื่องของตัวผลิตภัณฑ์ และร้านที่เป็นรถเคลื่อนที่ ซึ่งจะช่วยนำพาธุรกิจให้สยายปีกออกไปได้อีกมาก ขณะที่เรื่องของการทำตลาดในรูปแบบของแฟรนไชน์ ซึ่งมีผู้ที่สนใจติดต่อเข้ามาเป็นจำนวนมากนั้น มองว่าขณะนี้น่าจะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เพราะเราต้องการคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐาน หากมีแฟรนไชน์และกำลังการผลิตของเราไม่เพียงพออาจจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ได้
“ ด้วยความที่เป็นนักโภชนาการมากกว่านักการตลาด ทำให้เราให้ความสำคัญกับเรื่องของการควบคุมคุณภาพมากกว่าเป็นลำดับแรก อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ธุรกิจจะต้องมีการเติบโต ก็ได้ดำเนินการศึกษาแนวทางของการขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชน์ที่มีผู้สนใจติดต่อเข้ามาเป็นจำนวนมากอยู่ โดยเชื่อว่าในอนาคตน่าจะเปิดให้ผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนได้ ”