“สมคิด”จี้คลัง คลอดมาตรการกระตุ้นรอบใหม่
รองฯสมคิด ห่วงภาวะเศรษฐกิจ “อึมครึม” จากพิษการเมือง เกรงฉุดจีดีพีไทยลดฮวบ สั่งคลังเร่งคลอดมาตรการกระตุ้นทั้งเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน พร้อมเสนอ ครม.พิจารณาภายใน 2 สัปดาห์ ย้ำรอบนี้…สั้นๆ แค่ 2-3 เดือน ก่อนส่งต่อให้รัฐบาลใหม่ เผยเม็ดเงินทั้งโครงการแค่ 2 หมื่นล้านบาท
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลังเดินทางเข้าตรวจเยี่ยม และรับฟังรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจ รวมถึงขอบคุณผู้บริหารของกระทรวงการคลังและหน่วยงานในสังกัด ช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาล โดยมี นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง และนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง คอยให้การต้อนรับ ที่กระทรวงการคลัง เมื่อช่วงสายวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เนื่องจากกระทรวงการคลังสามารถสนองตอบและนำนโยบายของรัฐบาลไปดำเนินการจนเกิดผลประจักษ์เป็นรูปธรรม ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
“เราผ่านพ้นการเลือกตั้งมาแล้ว แต่หลายฝ่ายยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเมือง และรอดูสถานการณ์การเมืองจากนี้ ส่วนตัวมองว่าแม้ไอเอ็มเอฟจะประกาศปรับลดจีดีพีเศรษฐกิจโลกไปแล้ว ทว่าสิ่งสำคัญมากกว่าก็คือ การสร้างความเชื่อมั่นภายในประเทศ ซึ่งหากปล่อยให้สถานการณ์ที่นักลงทุนเกิดความลังเลใจ กระทั่งชะลอการลงทุนอย่างนี้ต่อไป ย่อมไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน” ดร.สมคิดย้ำ และว่า
จากการสรุปสถานการณ์เศรษฐกิจของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ตรงกับที่คาดการณ์ไว้ คือ ตัวเลขทุกอย่างดีหมด ทั้งเรื่องระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ การจัดเก็บรายได้ภาษี การเบิกจ่ายงบประมาณ และอื่นๆ จนพูดได้ว่าประเทศไทยคือศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคนี้ ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่เริ่มมีสัญญาณการชะลอตัวลงในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงปลุกความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผ่านมาตรการต่างๆ ที่เตรียมจะผลักดันออกมาในช่วงเวลาสั้นๆ 2-3 เดือนนับจากนี้
โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังไปจัดทำรายละเอียดแผนงานดังกล่าว เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในอีก 2-3 สัปดาห์นับจากนี้ ทั้งนี้ เชื่อว่าหากความคลุมเครือในทางการเมือง เริ่มปรากฏภาพความชัดเจนมากขึ้น ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นกลับคืนมา โดยอยากส่งต่อตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีให้กับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศในเร็ววันนี้
สำหรับเป้าหมายจีดีพีของไทยในปีนี้ รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ ระบุว่า อยากเห็นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3 ส่วนจะเติบโตเท่าที่เคยมีการคาดการณ์เอาไว้ที่ร้อยละ 4 หรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องที่รัฐบาลให้ความสนใจ คือ การทำการค้าออนไลน์ เนื่องจากปัจจุบันยังขาดข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับตัวเลขการทำการค้าในรูปแบบนี้ว่าเป็นอย่างไร? มีมูลค่าการค้ามากแค่ไหน? จึงมอบหมายให้อธิบดีกรมสรรพากรไปเร่งศึกษาและหาข้อมูลเกี่ยวกับการค้าออนไลน์โดยเร็ว ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ไม่ถือเป็นการควบคุม หากแต่จะช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจการค้าออนไลน์ และผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่น ว่าหน่วยงานภาครัฐได้เข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นตามมาในอนาคต
ด้านนายอภิศักดิ์ กล่าวเสริมว่า ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในไตรมาสที่ 1 และ 2 มีเพียงร้อยละ 3เศษๆ จำเป็นจะต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาในช่วงนี้ และมาตรการที่กระทรวงการคลังเตรียมจะเสนอคณะรัฐมนตรีนั้น ประกอบด้วยมาตรการเกี่ยวกับการกระตุ้นการบริโภค เช่น การใช้มาตรการทางภาษีส่งเสริมการท่องเที่ยวไม่เฉพาะกับเมืองรอง ที่ได้ทำไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ยังจะครอบคลุมไปถึงเมืองหลักอื่นๆ ทั่วประเทศด้วย รวมถึงมาตรการอัดฉีดเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้จัดซื้อเสื้อผ้า หนังสือเรียน และอุปกรณ์การเรียน อันเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคล หรือ “ทุนมนุษย์” ของไทย ทั้งนี้ กระทรวงคลังยังจะต่อยอดในโครงการ “ทุนมนุษย์” อย่างยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีการกระตุ้นผ่านมาตรการอื่นๆ เช่น ด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำหนังสือเตือนไปยังสถาบันการเงิน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ ให้ระวังเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อบ้านหลังที่ 2 และการออกมาตรการต่างๆ ซึ่งมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ โดยเบื้องต้นได้สั่งการให้ธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เข้ามาดูแลและแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว โดยเฉพาะมาตรการการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ซื้อเป็นต้น
“บางมาตรการ เช่น การโอนเงินเพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองนำไปจัดซื้อเสื้อผ้า หนังสือเรียน และอุปกรณ์การเรียนนั้น จำเป็นจะต้องเร่งดำเนินการให้ทันกับการเปิดภาคเรียนในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ส่วนมาตรการที่ไม่เร่งด่วน ก็จะค่อยๆ ดำเนินการไป โดยทุกมาตรการที่เตรียมจะทำในช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 2-3 เดือนก่อนส่งต่อให้รัฐบาลชุดใหม่นั้น คาดว่าจะใช้งบประมาณเพียง 2 หมื่นล้านบาทเท่านั้น” รมว.คลัง สรุป.