สแกนหุ้น WFX ขึ้นแท่น Growth Stock
หุ้น WFX หรือ บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดเพื่อส่งออก นับเป็นหนึ่งในหุ้นน้องใหม่ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เมื่อ 23 ธันวาคม ปีที่แล้ว ยังสามารถยืนเหนือราคาจองที่ 7.20 บาทและยืนแกร่งเหนือระดับ 8.00 บาท ท่ามกลางบรรยากาศตลาดหุ้นขาลงทั้งจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน และผู้ติดเชื้อโควิดกลับมาเพิ่มขึ้นอีกระลอกในไทย
ราคาหุ้น WFX ปิดที่ 8.05 บาท มูลค่าราคาตลาดรวม(มาร์เกตแคป) หุ้นอยู่ที่ 3,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากมาร์เกตแคป ณ ราคา IPO ที่อยู่ 3,342 ล้านบาท
นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่จะรู้ว่าหุ้น WFX เป็นบริษัทลูกที่แตกมาจากแม่ที่ทำธุรกิจยางพาราครบวงจร นั่นคือ บมจ. ไทยรับเบอร์ลาเท็กคซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TRUBB ทำธุรกิจครอบคลุมผ่านบริษัทลูกต่างๆ ตั้งแต่ปลูกสวนยางพาราในประเทศไทย ผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบจากยางพารา เช่น น้ำยางข้น ยางแห่ง ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืด ที่นอนยางพราธุรกิจนายหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทยด้วย ผ่านนโยบายแตกแล้วโตของ TRUBB ที่มีบริษัทลูกรองรับ และปั้นลูกให้เติบโตเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อมีผลดำเนินงานยืนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งวันนี้ WFX ได้พิสูจน์ตัวเองผ่านผลดำเนินงานที่เติบโตได้ดี
“เวิลด์เฟล็กซ์” เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบแป้งและเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบซิลิโคนรายใหญ่ติดอันดับ Top 3 ในไทย โดยมีโรงงานผลิตเส้นด้ายยางยืด ตั้งอยู่ในอ.ปลวกแดง จ. ระยอง ถือเป็นผู้ผลิตสินค้าขั้นกลาง สอดรับกับบริษัทแม่ TRUBB ที่เป็นผู้ผลิตต้นน้ำ โดย TRUBB ถือหุ้น WFX สัดส่วนกว่า 66%ของทุนจดทะเบียน ยิ่งการันตีหุ้นลูกอีกชั้นหนึ่ง
สำนักข่าว AEC 10 News พามาพูดคุยกับบอสหนุ่มไฟแรง “ณัฐ วงศาสุทธิกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ WFX ที่คลุกวงในสั่งสมประสบการณ์ใต้ร่มเงาบริษัทแม่จนแตกบริษัทลูกถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 30 ปี เขาปลุกปั้นให้ WFX จนผลดำเนินงานเติบโตต่อเนื่องและปี 2564 ทำนิวไฮ สามารถเรียก WFX เป็นหุ้นสายแข็งที่มีทั้ง Growth Stock และ Dividend stock
ทำไม WFX เป็นหุ้นสายแข็ง ผลงานปี 64 นิวไฮฝ่าโควิด ?
“ณัฐ” ฉายภาพ WFX เป็นหุ้น Growth stock ว่า ปีที่แล้ว 2564 ที่ผ่านมา ท่ามกลางวิกฤตโควิด – 19 รุนแรง แต่บริษัททำรายได้รวม 3,776.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.79% จากช่วงเดียวกันปี 2563 (YoY) และมีกำไรสุทธิ 359.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 521.17% YoY ที่มีกำไรสุทธิ 57.81 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าตัว และถือว่าเป็นปีที่กำไรทำสถิติสูงสุด (New high) ส่วนรายได้รวม 3,776 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.79%จากปี 2563
พร้อมกับตอกย้ำภาพการเป็นหุ้น Dividend stock เมื่อต้นปีนี้ ได้แจกเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.22 บาท ซื้อใจผู้ถือหุ้นรายย่อยรับกันไปนอกจากราคาหุ้นที่สตรองเหนือจอง และเมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) ได้อนุมัติให้จ่ายเงินปันผลประจำปีให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.245 บาท ซึ่งหุ้นจะขึ้นเครื่องหมาย XD (ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล) วันที่ 10 มีนาคม 2565 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 ทั้งนี้ เมื่อรวมเงินปันผลที่ได้จาก WFX งวดผลดำเนินงานปี 2564 เท่ากับหุ้นละ 0.465 บาท หรือเกือบ 50 สตางค์ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ WFX สูง 5.78% ซึ่งนักวิเคราะห์จะยกให้หุ้นที่มีผลตอบแทนสูงเกิน 5% เป็นหุ้นเด่นน่าลงทุน
ใครที่ถือหุ้น WFX ตั้งแต่ราคาจองเข้าตลาดถึงวันนี้ ถือว่าได้ 3 เด้งจากเงินปันผล 2 รอบ และราคาหุ้นสตรองอีกด้วย
“ณัฐ” ยอมรับว่า พวกเขาและทีมงานต้องทำงานหนักเหมือนกัน เพราะผลิตเพื่อส่งออกสัดส่วนเกือบทั้งหมดราว 98% จึงทำให้มีคู่แข่งที่เป็นระดับโลก คือ มาเลเซีย ที่ครองอันดับหนึ่ง ตามด้วยไทย ซึ่งบริษัทไทยที่ผลิตมีมาร์เกตแชร์สูง 3 อันดับแรกจะมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน และเรา WFX เป็นหนึ่งในสาม ผู้ผลิตที่มีมาร์เกตแชร์สูงอันดับ 2 ในไทย ราวๆ 15-18%ของโลก ซึ่งบริษัทในไทยทั้ง 3 อันดับจะมีกลุ่มลูกค้าที่ไม่ชนกัน เป็นคนละ segment จึงเป็นเหมือนพันธมิตรมากกว่า
“จุดเด่นของเราที่สามารถผลิตเส้นด้ายยางยืดได้ทุกขนาด จึงทำให้รองรับออร์เดอร์ลูกค้าได้หลากหลายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ เราผลิตเส้นด้ายยางยืดที่มีคุณภาพระดับบน แต่ราคาระดับกลางถึงล่าง เราทำมาร์จิ้นได้สูงจากการขายส้นด้ายยางยืดเบอร์เล็ก ปัจจุบันพอร์ตใหญ่ของเรายังเป็นการผลิตเส้นด้ายยางยืดไซซ์มาตรฐาน ปราณ 50-60% ส่วนไซซ์เล็กมีสัดส่วน 30%และไซซ์ใหญ่ 10%”
ปีที่แล้ว WFX เน้นกลยุทธ์บุกตลาดเพื่อชิงมาร์เกตแชร์นอกประเทศจีน เช่น ประเทศในทวีปอเมริกาใต้และยุโรป ที่มีความต้องการสินค้าสูงขึ้นจากปัญหาโควิด รวมทั้งบริษัทได้ทำการตลาดแบบตรงเข้าสู่ผู้ประกอบการที่เป็น end Users ทำให้ได้กำไรดีกว่า จากที่เดิมจะขายผ่านตัวแทนหรือผู้จัดจำหน่ายสินค้า (Distribution) ประกอบกับได้เพิ่มกำลังการผลิตด้วย ช่วยทำให้ต้นทุนลดลงตาม Economy of Scale (การประหยัดขนาด) รองรับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในแต่ละ segment จึงทำให้ขายได้มาร์จิ้นที่สูงขึ้น นี่คือความสำเร็จของผลดำเนินงานที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว
ทั้งนี้ บริษัทสามารถผลิตเส้นด้ายยางยืดเคลือบแป้ง และเคลือบซิลิโคนได้ทุกขนาดตั้งแต่ 1.ขนาดมาตรฐาน 2.ขนาดใหญ่, 3.ขนาดกลาง, และ 4.ขนาดเล็ก ซึ่งเส้นด้ายยางยืดที่ผลิตจะครอบคลุมทุกประเภทสินค้าตั้งแต่กลุ่มสินค้าคงทน อาทิ เฟอร์นิเจอร์ กลุ่มสินค้าไม่คงทนอายุการใช้งานเฉลี่ย 1-2 ปี อาทิ ขอบกาเกงชั้นใน และกลุ่มสินค้าใช้เพียงครั้งเดียว อาทิ สายยางคล้องหูหน้ากากอนามัย, ยางรัดข้อมือสำหรับถุงมืออุตสาหกรรม เป็นต้น รวมถึงบริษัทมี “แผนกค้นคว้า วิจัย และพัฒนา” สามารถผลิตเส้นด้ายยางยืดตาม “ความต้องการ” (Make to order) ของลูกค้าได้อีกด้วย
เปิดแผนธุรกิจโตต่อเนื่องฝ่ามรสุมปีเสือ
“บอสหนุ่ม” ตั้งเป้าหมายรายได้รวมเติบโต 10-15% จากปีที่แล้วรายได้รวม 3,776 ล้านบาท เนื่องจากตลาดโลกยังมีความต้องการ” (Demand) ใช้เส้นด้ายยางยืดสูงเฉลี่ยปีละกว่า 2 แสนตัน ขณะที่กำลังการผลิต (Supply) ทั่วโลกเฉลี่ยปีละกว่า 1-1.2 แสนตัน สะท้อนภาพตลาดนี้ยังเติบโตได้อีกมาก
เราจึงตัดสินใจขยายกำลังการผลิตเร็วขึ้นจากแผนเดิม เนื่องจากปีที่แล้ว มีการใช้กำลังการผลิตเกือบเต็มแล้ว ราวๆ 94%ของทั้งหมด โดยปีนี้จะลงทุนซื้อเครื่องจักรซึ่งมี 2 เฟส ใช้เงินราว 350 ล้านบาท ซึ่งเฟสแรก คาดว่าจะติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จปลายไตรมาส 2 นี้ และเริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3 จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิต 6.2 พันตันต่อปี ส่วนเฟส 2 จะติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จปลายปีนี้ จะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่ม 6.2 พันตันต่อปี
โดยรวม 2 เฟส บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 12,400 ตันต่อปี สามารถรองรับได้ถึง 1-2 ปีข้างหน้าหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% จากปัจจุบันมีกำลังการผลิต 35,000 ตันต่อปี สามารถรองรับคำสั่งซื้อที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าเป้าหมายทั่วโลก และเพิ่มโอกาสการเติบโตให้กับ WFX ในช่วง 3 ปีข้างหน้าเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ WFX ระดมทุน IPO จากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้จำนวนเงินสุทธิ 998 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินทุนในการขยายโรงงานผลิตเส้นด้ายยางยืด 350 ล้านบาท ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน 400 ล้านบาทในปีที่แล้ว และที่เหลือเป็นเงินทุนหมุนเเวียน
การทำการตลาดเชิงรุก เพื่อขยายฐานลูกค้า ช่วยเพิ่มมาร์เกตแชร์ ปีนี้ยังใช้กลยุทธ์เชิงรุก (Growth Synergy) ในการเจาะลูกค้าใหม่ทั่วโลก ด้วยทีมงานฝ่ายขายและการตลาดที่เป็นชาวต่างชาติ สามารถพูดได้หลายภาษา กระจาย 50 ประเทศทั่วโลก ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถใช้ภาษาท้องถิ่น ช่วยให้เข้าถึงผู้ประกอบการที่เป็น End-user ของเราได้มีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น( Gross Profit Margin)ให้อยู่ในระดับสูง 18% รวมถึงมีโอกาสพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆตอบสนองลูกค้าได้ไม่หยุด
อย่างไรก็ตาม บริษัทผลิตส่งออกตลาดจีนสัดส่วน 70%ของยอดผลิตทั้งหมดที่เหลือเป็นนอกประเทศจีน ซึ่งมีอเมริกาใต้และยุโรป ซึ่งการเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ส่งผลกระทบบ้างเพราะยูเครนเป็นฐานผลิตสิ่งทอเครื่องนุ่งห่มรายใหญ่ในยุโรป เเพราะมีค่าแรงถูก ซึ่งผู้ผลิตก็เตรียมจะย้ายฐานการผลิตไปประเทศแถบคาบสมุทรบอลข่าน อาทิ บัลแกเรีย, มาซิโดเนีย เป็นต้น
“เรามีลูกค้าที่อยู่ในยูเครน 1-2 ราย ซึ่งสั่งออร์เดอร์ล่วงหน้ามา ก็มีการจ่ายเงินมัดจำแล้ว ส่วนการโอนเงินก็จะทำผ่านทางจีน แต่เขาจ่ายเราเป็นสกุลดอลลาร์อยู่ อย่างไรก็ตาม ปีนี้เรามีแผนเจาะตลาดใหม่ๆ อยู่แล้ว เช่น บังคลาเทศ บราซิลและปากีสถาน ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง ซึ่งน่าจะเพิ่มมาร์เกตแชร์ให้บริษัทเพิ่มขึ้น”
“ณัฐ” พูดถึงด้านการผลิตของ WFX ว่า ปัจจุบันบริษัทซื้อวัตถุดิบ “น้ำยางพารา” จากบริษัทแม่ TRUBB สัดส่วน 70%ของจำนวนทั้งหมด นอกเหนือจากไทยรับเบอร์เองแล้ว เรายังมี พันธมิตรที่เป็นผู้ผลิตน้ำยางข้นอีกมากกว่า 15 ราย ในประเทศ และ เรายังมีพันธมิตรที่เป็น ผู้ผลิต และจำหน่ายน้ำยางข้นในประเทศเวียดนามอีก จึงเป็นการการันตีได้ว่าเราจะมีวัตถุดิบน้ำยางข้นใช้อยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการบริหารจัดการด้านต้นทุนอย่างหนักเหมือนกัน เพราะมีต้นทุนผลิตจากน้ำยางและสารเคมีถึง 70-80%ของต้นทุนรวม และตอนนี้ยังมีราคาน้ำมันขึ้นอีก ต้องยอมรับว่าต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะที่ราคาขายปรับเพิ่มขึ้นยาเหมือนกัน
“แต่เราก็รับออร์เดอร์ล่วงหน้า 2 เดือน เพื่อไม่ลดความเสี่ยงจากราคายางโลกผันผวนมาก และเราจะให้ลูกค้าวางมัดจำเงินส่วนหนึ่งก่อนด้วย ทำให้เราสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ และหลังส่งสินค้าจึงจ่ายส่วนที่เหลือ อย่างไตรมาสแรก เราพอจะเห็นแนวโน้มยอดขายแล้วว่าเติบโตต่อเนื่อง ผลงานไตรมาสแรกก็น่าจะออกมาดีต่อเนื่อง”
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน เนื่องจากบริษัทซื้อขายสินค้าสกุลดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามบริษัทได้มีการทำเฮดจิ้ง (ซื้อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน)
“ณัฐ” ทิ้งท้ายว่า แผนการขยายกำลังการผลิต การขยายส่งออกตลาดใหม่ๆ ทำให้เพิ่มโอกาสการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น และยังทำให้มาร์เกตแชร์เพิ่มขึ้นในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายจะขึ้นเป็น “ผู้นำเบอร์หนึ่ง” ให้ได้ด้วย และนี่คือเส้นทางการเติบโตของธุรกิจ WFX ที่เป็นหุ้น Growth & dividend Stock อีกตัวในตลาดหุ้นไทย