ธนาคารไทยพาณิชย์ส่งมอบปริมาณโลหิต ประจำปี 2564 จำนวน 25 ล้านซีซี
พร้อมเปิดโครงการ “ไทยพาณิชย์รวมใจไทยให้โลหิต” ประจำปี 2565
ธนาคารไทยพาณิชย์ร่วมกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถือฤกษ์เดือนแห่งความรัก เปิดโครงการ “ไทยพาณิชย์รวมใจไทยให้โลหิต” ประจำปี 2565 ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องปีนี้เป็นปีที่ 26 เพื่อ แสดงออกซึ่งความรักและแบ่งปันต่อเพื่อนมนุษย์ เติมเต็มปริมาณโลหิตให้มีเพียงพอต่อการรักษาพยาบาลผู้ป่วย ทั่วประเทศ บรรเทาปัญหาการขาดแคลนโลหิตจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยรณรงค์เชิญชวนลูกค้า ประชาชน ร่วมบริจาคโลหิตเป็นประจำสม่ำเสมอทุก 3 เดือน ซึ่งจะทำให้ผู้บริจาคมีร่างกายแข็งแรง เม็ดเลือดแดง และไขกระดูกทำงานได้ดี ในโอกาสนี้ นายอาพัทธ์ วิชิตะกุล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน First ภูมิภาค เป็นผู้แทนธนาคารไทยพาณิชย์ ส่งมอบปริมาณโลหิตที่ได้ร่วมรณรงค์และเปิดหน่วยรับบริจาคโลหิตตลอดปี 2564 ที่ผ่านมา จำนวน 25 ล้านซีซี ให้แก่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โดยมี รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย รับมอบ ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ ซึ่งจัดขึ้นภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
นายอาพัทธ์ วิชิตะกุล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน First ภูมิภาค ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ธนาคารไทยพาณิชย์ร่วมกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิตมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา รวมระยะเวลา 26 ปี ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของภารกิจของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ในการจัดหาปริมาณโลหิตให้มีเพียงพอต่อการรักษาพยาบาลผู้ป่วยทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย โดยธนาคารฯ ได้สนับสนุนพื้นที่ของธนาคารฯ เป็นหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ทุก 3 เดือน ทั้งที่สำนักงานใหญ่และสาขาของธนาคารฯ 8 สาขา ได้แก่ สาขาอ้อมใหญ่ สาขาถนนนวลจันทร์ สาขาสโมสรหมู่บ้านเสนานิเวศน์ สาขาถนนเสรีไทย สาขาบางมด สาขาพระราม 2 (กม.7) สาขาถนนรามคำแหง (สัมมากร) สาขาอาคาร G tower รวมถึงภาคีเครือข่ายของธนาคารฯ อาทิ สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ การสนับสนุนภาคบริการโลหิตแห่งชาติใน 12 จังหวัด การสนับสนุนหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่จากการจัดสร้างรถรับบริจาคโลหิต จำนวน 10 คัน อีกทั้งพนักงานของธนาคารฯ ยังได้ร่วมเป็นจิตอาสาสนับสนุนกิจกรรมของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติในโอกาสต่าง ๆ อีกด้วย ในปีที่ผ่านมา ธนาคารฯ สามารถจัดหาปริมาณโลหิตส่งมอบให้แก่ศูนย์บริการโลหิตได้ 25 ล้านซีซี รวมตลอดทั้งโครงการตั้งแต่เริ่มต้นจวบจนปัจจุบัน ธนาคารฯ ได้ส่งมอบปริมาณโลหิตให้แก่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติฯ ไปแล้วกว่า 585 ล้านซีซี ซึ่งสามารถนำไปใช้รักษาพยาบาลผู้ป่วยได้กว่า 4.38 ล้านคน สำหรับในปี 2565 ธนาคารฯ ยังคงเดินหน้าให้การสนับสนุนศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตให้เพียงพอต่อการรักษาพยาบาลผู้ป่วย”
รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวว่า “นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 การบริจาคโลหิตทั่วประเทศลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ปริมาณโลหิตในคลังลดน้อยลง แต่ความต้องการใช้โลหิตในการรักษาพยาบาลยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีผู้ป่วยต้องเลื่อนการผ่าตัดและการรักษาพยาบาลออกไปเป็นจำนวนมาก จึงขอเชิญชวนผู้ที่มีสุขภาพดีหรือผู้ที่ครบกำหนดบริจาคโลหิต 3 เดือนแล้ว ร่วมบริจาคโลหิต เพื่อนำไปใช้รักษาผู้ป่วยทั่วประเทศ ทั้งในรูปโลหิต ส่วนประกอบโลหิต และผลิตภัณฑ์โลหิต ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติได้มีการดำเนินการโดยยึดมั่นในนโยบายคุณภาพ คือ บริการประทับใจ โลหิตเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต และผลิตภัณฑ์มีคุณภาพได้มาตรฐานปลอดภัยทั้งผู้ให้และผู้รับอย่างต่อเนื่อง ตามมาตรฐานบริการโลหิตระดับสากล โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไว้รัสโควิด-19 ซึ่งมีมาตรการคัดกรองและป้องกันอย่างเคร่งครัด ธนาคารไทยพาณิชย์ นับเป็นหนึ่งในองค์กรที่ให้การสนับสนุนศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติด้วยดีเสมอมาทั้งในยามปกติและยามวิกฤติ นับเป็นสถาบันการเงินที่สามารถจัดหาปริมาณโลหิตในแต่ละปีได้จำนวนมากที่สุด ขอเชิญชวนผู้ที่มีสุขภาพดี ร่วมบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง โลหิตที่ได้รับจากผู้บริจาคแต่ละท่าน 1 ครั้ง สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้มากกว่า 3 ชีวิต การบริจาคโลหิตทุก 3 เดือน นอกจากจะเป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่แล้ว ยังช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดี กระตุ้นการทำงานของไขกระดูกได้สร้างเม็ดเลือดใหม่ ทำให้มีสุขภาพแข็งแรงอีกด้วย”
ธนาคารไทยพาณิชย์พร้อมให้การสนับสนุนศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ โดยร่วมรณรงค์และจัดหาปริมาณโลหิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบให้กับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยในการนำไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย