ชมทุ่งดอกทานตะวันบานกลางหุบเขา
ทานตะวัน จัดเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญอีกชนิดหนึ่งของไทยรองจากถั่วเหลือง และปาล์มน้ำมัน สามารถนำมาแปรรูปเป็นอาหารได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นในรูปเมล็ดคั่ว สกัดทำน้ำมันพืช หรือแม้แต่นำเมล็ดมาเพาะเป็น “ทานตะวันงอก” กลายเป็นพืชผักราคาดีที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรักอาหารเพื่อสุขภาพ
ทานตะวันนั้นปลูกได้ทุกฤดูกาล แต่สำหรับในฤดูหนาวอย่างช่วงปลายปีต่อเนื่องไปถึงต้นปีใหม่ แปลงดอกตะวันบางส่วนจากจำนวน 2-3 หมื่นไร่ ในเขตพื้นที่ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นแหล่งปลูกสำคัญของไทย จะได้รับการดูแลอย่างดีเป็นพิเศษ เพื่อรองรับขบวนนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศที่ยกขบวนมาชื่นชมความงามของทุ่งดอกทานตะวันกันเป็นประจำทุกปี โดยไม่จำเป็นต้องถ่อสังขารขึ้นไปชมทุ่งดอกบัวตองทางภาคเหนือเลย และสามารถพาครอบครัวแวะไปเที่ยวชมแบบเช้าไป-เย็นกลับได้สบายๆ
แหล่งชมทุ่งดอกทานตะวันบานที่ได้รับการส่งเสริมให้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวนั้น ในจังหวัดลพบุรี จะอยู่ในเขตอำเภอเมือง, อำเภอหนองม่วง, อำเภอพัฒนานิคม และอำเภอโคกสำโรง จังหวัดสระบุรี จะอยู่ในเขตอำเภอมวกเหล็ก, อำเภอวังม่วง, อำเภอแก่งคอย และอำเภอพระพุทธบาท ส่วนของจังหวัดสุพรรณบุรีนั้นจะมีเพียงแค่แห่งเดียว คือ ศูนย์พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง ตำบลพลับพลาไชย อำเภออู่ทอง
ใครอยู่ใกล้เส้นทางไหนก็เชิญแวะไปเที่ยวชมกันได้ตามสะดวก แต่ถ้าอยากได้ทุ่งทานตะวันที่มีฉากหลังอลังการเห็นเป็นภูเขาสูงต่ำสลับกันไป ก็ต้องแวะไปที่ ทุ่งทานตะวันเขาจีนแล ใกล้วัดเวฬุวัน ตำบลนิคมสร้างตนเอง อำเภอเมืองลพบุรี ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร (ดอกทานตะวันจะเริ่มบานประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม) ถ้าต้องการฉากหลังมีทั้งทะเลสาบ และขุนเขา ก็ต้องแวะไปชมทุ่งทานตะวันอ่างเก็บน้ำซับเหล็ก ในละแวกใกล้ๆ กัน รับรองเลยว่า จะได้ถ่ายภาพกับทุ่งทานตะวันเหลืองอร่ามกันได้อย่างสวยงามโดยถ้วนหน้า
การเดินทางไปเที่ยวชมดอกทานตะวันอย่างได้อรรถรสเป็นพิเศษแถมยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้ไม่น้อย ก็น่าจะเป็นการเดินทางด้วยรถไฟนำเที่ยวขบวนพิเศษจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งมักจัดเป็นประจำทุกปีในช่วงเวลานี้ โดยมีเส้นทางตั้งต้นจากสถานีหัวลำโพง และไปสิ้นสุดปลายทางที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดสระบุรี สนนราคาตั๋วต่อที่นั่งชั้น 3 อยู่ในคาแค่หลักร้อยบาท แต่จัดโปรแกรมให้ได้แวะลงไปถ่ายภาพกลางทุ่งดอกทานตะวันที่เขาหินซ้อน อำเภอแก่งคอย กันอย่างจุใจ และที่พิเศษสุดเลยสำหรับการเดินทางโดยรถไฟ ก็คือโอกาสที่จะได้แวะไปยืนถ่ายรูปชมวิวสวยๆ รายรอบทางรถไฟกลางเขื่อน ที่เรียกกันติดปากว่า ทางรถไฟลอยน้ำ ซึ่งไม่สามารถขับรถเข้าไปเที่ยวเองได้ เรียกว่าแค่นั่งรถไฟมาเที่ยวแค่จุดนี้จุดเดียวนี่ก็คุ้มค่าสุดๆ แล้ว
เขื่อนป่าสักชลสิทธ์นั้น ตั้งอยู่ใน ต.หนองบัว อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2537 และใช้เวลาในการก่อสร้างเขื่อนเป็นเวลานานถึง 5 ปีจึงแล้วเสร็จ ได้ชื่อว่าเป็นเขื่อนดินที่ยาวที่สุดในประเทศไทย โดยมีแหล่งน้ำสำคัญคือแม่น้ำป่าสัก ซึ่งมีแหล่งต้นน้ำอยู่จังหวัดเลย เขื่อนแห่งนี้สร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นที่กักเก็บน้ำให้ราษฎรได้ใช้ในยามขาดแคลน และควบคุมปริมาณน้ำเพื่อป้องกันอุทกภัย ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทุ่งดอกทานตะวันที่บานสะพรั่งได้ในตลอดฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงหน้าแล้งนั้น ส่วนใหญ่ได้รับอานิสงส์จากน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์แห่งนี้ สมดังชื่อเขื่อนที่ในหลวงท่านทรงพระราชทานนามไว้ ซึ่งมีความหมายว่า “เป็นเขื่อนเก็บกักน้ำที่มีประสิทธิภาพ”
นี่เป็นเพียงสาระสั้นๆ ที่อยากสอดแทรกไว้เป็นความรู้ในระหว่างการท่องเที่ยวไปบนเส้นทางสวยงาม ใครสนใจก็ลองหาโอกาสแวะไปเที่ยวชมกันได้ แต่ก็ต้องขอบอกกันก่อนว่า การเดินทางโดยรถไฟนำเที่ยวนั้นที่นั่งอาจจะไม่ค่อยสะดวกสบายนัก เป็นตู้ชั้น 3 และใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน แถมยังเดินทางกลับในช่วงบ่ายแก่ซึ่งอากาศค่อนข้างร้อน ใครที่ไม่อยากเสียเวลาไปกับการเดินทางมากนัก อาจใช้วิธีขับรถส่วนตัวไปจอดใกล้ๆ สถานีรถไฟเขื่อนป่าสัก แล้วซื้อตั๋วรถไฟระยะสั้นไปเที่ยวเฉพาะเส้นทางรถไฟลอยน้ำก็ได้ รับรองว่าจะช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางได้เยอะเลยทีเดียว
ไม่ว่าท่านจะเลือกเดินทางด้วยวิธีการใด จุดหมายปลายทางสุดท้ายสำหรับทริปชมทุ่งดอกทานตะวันแบบเช้าไปเย็นกลับ ควรจะปิดท้ายที่จุดท่องเที่ยวบริเวณสันเขื่อนป่าสัก หรือเรียกชื่อกันอย่างเป็นทางการว่า โครงการส่งน้ำ และบำรุงรักษาเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ สำนักชลประทานที่ 10 กรมชลประทาน เพราะที่นั่นจะเป็นแหล่งรวมของอร่อยๆ มีกิจกรรมมากมายให้เลือกเที่ยวชมทัศนียภาพรายรอบตัวเขื่อนป่าสัก ได้หลายชั่วโมงโดยไม่มีเบื่อ แถมยังเป็นจุดเลือกซื้อหาผลิตภัณฑ์สารพัดจากทานตะวันในราคามิตรภาพ ที่ไม่น่าพลาดด้วยประการทั้งปวง