ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 25-26 ก.ย.2564
“เรื่องที่ 279 เมื่อบิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” คะแนนนิยมตก “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 3/2564” พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 32.61 ระบุว่า ประชาชนยังเห็นคนที่เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรี”
ส่วนอันดับ 2 ร้อยละ 17.54 ระบุว่าเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ มีความเด็ดขาดในการตัดสินใจ แก้ไขปัญหาได้ดี ช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ และคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ขณะที่อันดับถัดๆไป ได้แก่ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส”
ผลโพลนี้สะท้อนอะไร แม้ดูเหมือนว่า “พล.อ.ประยุทธ์” จะมีคะแนนความนิยมเหนือกว่าคนอื่น ในบรรดาผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกฯ กระนั้น ก็เป็นธรรมชาติของคนเป็นผู้นำ ณ ปัจจุบัน ที่ย่อมมีคะแนนความนิยมนำหน้าผู้อื่นอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะผู้นำ ณ ปัจจุบัน ถือว่ายังมีบทบาทสำคัญ ย่อมมีกระแสที่ดีกว่าผู้อื่นเสมอ
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 32.61 ยังไม่เห็นว่าใครเหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ตอนนี้คะแนนร้อยละ 32.61 ดังกล่าว ควรจะเป็นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมือนกับอดีตผู้นำหลายคนที่ผ่าน ที่เมื่อมีการสำรวจคะแนนความนิยม พวกเขาก็จะได้รับคะแนนมาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ใช่อันดับ 2 รองจาก “ยังไม่รู้จะเลือกใคร”
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 2/64 เดือน มิ.ย. 2564 พบว่า ผู้ที่ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมาะจะเป็นนายกรัฐมนตรี มีสัดส่วนลดลง ในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” และ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
หมายความว่า คะแนนความนิยมของ “พล.อ.ประยุทธ์” ลดลงอย่างมาก และต้องอย่าลืมว่า ขณะนี้ พรรคเพื่อไทย ยังไม่เสนอใครให้เป็นว่าที่ผู้ท้าชิงนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ซึ่งไม่แน่ว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อใครคนใดคนหนึ่งขึ้นมา ใครคนนั้นอาจมีคะแนนนำ “บิ๊กตู่” ก็เป็นได้
เรื่องที่ 280 เศรษฐกิจดี หรือไม่ดี เช็คง่ายๆ จากเงินในกระเป๋าตังค์ของเราเองและคนรอบข้าง อีกปรากฏการณ์ที่พอจะอธิบายภาวะเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดีก็คือ การที่พวกมิจฉาชีพ ต่างพาเหรดออกมาหลอกลวงให้ประชาชนหลงเชื่อ โอนเงินหรือร่วมลงทุนในลักษณะ “ลงทุนหลักร้อย แต่รับผลตอบแทนหลักหมื่นหรือมากกว่านั้น”
ล่าสุด เพียงแค่วันเดียว กระทรวงการคลัง ออกเอกสารข่าวแจกสื่อมวลชนถึง 2 รอบ! “รอบแรก” จากสำนักงานปลัดกระ ทรวงการคลัง รอบหลังจาก “กุลยา ตันติเตมิท” ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) โฆษกกระทรวงการคลัง ประกาศเตือนประชาชนให้ระวัง! เล่ห์กลของมิจฉาชีพ ทั้งการสร้างหลักฐานปลอม อ้าง “คลัง-แบงก์ชาติ” อนุมัติให้มีการล้างหนี้ให้กับประชาชน ผ่านโลกโซเชียลฯ ตามนโยบายธนาคารโลก ทั้งที่ความเป็นจริง มันไม่ได้มีอยู่จริง ดังนั้น หากใครหลงเชื่อโอนเงินไปให้คนกลุ่มนี้ หรือให้ข้อมูลส่วนตัวแก่พวกมิจฉาชีพ อาจนำมาซึ่งความเสียหายทางการเงินเกินความคาดหมายได้ รวมถึงการไม่โอนเงินไปร่วมลงทุนในธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัล และอย่าได้แชร์ข้อมูลเหล่านี้ออกไป เพราะอาจเข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
เรื่อง 281 นี่ก็จับประเด็นเก่ง สอดรับกับสถานการณ์ข้างต้น สำหรับ “สมคิด เชื้อคง” ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ที่ชี้ให้เห็นปัญหาและความเสียหายจากนโยบาย “กู้สะท้านแผ่นดิน” ของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” นับแต่ยุค คสช.ถึงพรรคพลังประชารัฐกับข้อกล่าวหาทำประเทศไทยและคนไทย ต้องเป็นหนี้ร่วมกัน ชนิดตายไป 3 ชั่วโคตรก็ยังใช้หนี้กันไม่หมด เท็จจริงอย่าง ไร ลองไปฟังเหตุผลของฝ่ายค้านฯ ที่ระบุว่า นับแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารราชการแผ่นดินมา 7 ปี มีการกู้เงินกันทุกปี จนก่อหนี้สินไปแล้ว 12 ล้านล้านบาท แต่การกู้เงินเงินของรัฐบาลไม่เคยช่วยให้ระบบเศรษฐกิจของไทยดีขึ้น การแจกเงินไม่สามารถกระตุ้นกำลังซื้อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจได้ จึงไม่เกิดประโยชน์กับระบบเศรษฐกิจไทย
มากกว่านั้น เพราะความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 2 ปีนี้ ฉุดการลงทุนภาคเอกชน จนแทบไม่มีการลงทุนเพิ่ม ขณะการลงทุนจากภาครัฐก็น้อยมาก เพราะม่มีงบประมาณเพียงพอในการลงทุน เหตุเพราะรัฐ บาลโดยกรมภาษีของกระทรวงการคลัง จัดเก็บรายได้ภาษีหลุดเป้าไปเยอะมาก พรรคฝ่ายค้าน “เพื่อไทย” ประเมินว่า…ณสิ้นปี2564 รัฐบาลจะจัดเก็บภาษีพลาดเป้าไปไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาท สะท้อนถึงการบริหารราชการที่ล้มเหลวทุกด้าน จะว่าไปตัวเลขเก็บภาษีหลุดเป้า อาจเกินไปกว่าที่กระทรวงการคลังเคยให้ข่าวที่ 200,000 ล้านบาท เพราะภาครัฐคิดจากปีงบประมาณที่สิ้นสุด 30 ก.ย.นี้ ขณะที่ ฝ่ายค้าน…มองไปไกลถึงสิ้นปีปฏิทิน 31 ธ.ค. สรุปท้าย สงสัยตัวเลขจัดเก็บภาษีพลาดเป้าที่ 300,000 ล้านบาท อาจไม่ไกลเกินความเป็นจริงนัก.
เรื่องที่ 282 ยังมีหวัง ประเทศไทยยังมีหวัง ที่จะกลายเป็น ศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของโลก ในอนาคต เพราะหลังจากค่ายรถญี่ปุ่น ที่ยึดพื้นที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ มากว่า 50 ปี มุ่งที่จะเพิ่มการลงทุนรถยนต์ไฮบริดมากกว่า รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ความฝันของประเทศไทย ที่จะเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าดับวูบลงทันที มาเริ่มสว่างอีกทีก็เมื่อ “เกรท วอลล์ มอเตอร์” ค่ายรถยนต์ระดับโลกจากจีนประกาศ แผนลงทุน ยานยนต์ไฟฟ้า ในไทย
“เกรท วอลล์ มอเตอร์” ยังคง เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นในการเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง “ครรชิต ไชยสุโพธิ์” รองประธานฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเทศไทย บอกว่า ประเทศไทยได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในฐานการผลิตยานยนต์ที่ดีที่สุดของโลก นโยบายภาครัฐก็ส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในอาเซียน และยังวางแผน ผลิตยานยนต์ภายในประเทศให้เป็นยานยนต์ไร้มลพิษ หรือ Zero Emission Vehicle (ZEV) ในสัดส่วน 30% ภายในปี พ.ศ.2573 อีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ การลงทุนของ เกรท วอลล์ เป๊ะๆเลย ตรงนี้แหละที่ทำให้ไทยมั่นใจจะสามารถทวงบัลลังก์ฐานการผลิตกลับคืนมาได้
และในปีนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ มีแผนนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย โดยจะนำรถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยมจากแบรนด์ “ORA” อย่าง ORA Good Cat เข้ามาเป็นรุ่นแรก และในปี พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป เกรท วอลล์ มอเตอร์ ก็จะเริ่มเดินสายการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าระยะทางวิ่งไกล (Long-range BEV) รุ่นต่างๆ เพื่อจำหน่ายในตลาดประเทศไทยและส่งออก ระดับผู้นำประเทศ บอกมาว่า ถึงเวลานั้นเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นๆ ประชาชนก็จะอยู่ดีกินดีขอให้จริง ขอให้จริง…
เรื่อง 283 เสร็จแล้ว..โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันไปภาคเหนือ ของ บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด หรือ FPT บริษัทย่อยของ BAFS ระยะทางทั้งสิ้น 576 กิโลเมตร ขนส่งจากคลังน้ำมันบางปะอิน ไปยังคลังน้ำมันพิจิตร และคลังน้ำมันนครลำปาง ซึ่งถือว่าเป็นท่อขนส่งน้ำมันที่ยาวที่สุดในประเทศก็ว่าได้ และยังสามารถขนส่งน้ำมันได้สูงสุด 9,000 ล้านลิตรต่อปีที่ลงทุนสร้างท่อน้ำมันยาวขนาดนี้ นอกจากจะรองรับขนส่งในประเทศแล้ว FPT ยังมีแผนบริการขนส่งน้ำมันไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อมต่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอนาคตอีกด้วย “เจริญ จารุไสลพงษ์” เอ็มดี FPT บอกว่า ผลดีของท่อส่งน้ำมัน คือใช้แทนการขนส่งจากรถบรรทุก ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก และช่วยลดอุบัติเหตุจากการขนส่งน้ำมันด้วยรถบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ แต่จะลดปัญหา น้ำมันเถื่อน หรือไม่ ยังตอบไม่ได้.. เพราะน้ำมันเถื่อน ส่วนใหญ่ ทะลักเข้าทางทะเล
โดย นพวัชร์