ฟังจากปาก “ทักษิณ” นาทีถูกรัฐประหาร 19 ก.ย.49
เขากลัวผมกลับเข้าเมืองไทย ถ้าผมกลับเข้าเมืองไทย เขาก็เสร็จผมแน่
เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ครบรอบ 15 ปี ที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) นำกำลังทหารยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร
เหตุการณ์ครั้งนี้มีความสำคัญตรงที่เป็นการรัฐประหารครั้งแรกในรอบ 15 ปี หลังจากคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช.ยึดอำนาจเมื่อปี 2534 และประชาชนชาวไทย ไม่คาดคิดว่าจะมีรัฐประหารเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้อีกแล้ว
กระทั่งวันที่ 19 ก.ย.2549 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อาศัยโอกาสที่ นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมประชาสหประชาชาติ ก่อการยึดอำนาจ ซึ่งถือเป็นปฐมบทแห่งความขัดแย้งทางการเมืองไทยครั้งใหม่
แม้ผ่านไปนานถึง 15 ปี แต่เหตุการร์ครั้งนั้น ยังอยู่ในความทรงจำของ “ทักษิณ” และ ทักษิณ ได้เล่าถึงรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนั้นหลายโอกาส เมื่อร่วมพูดคุยคลับเฮ้าส์กับกลุ่ม care
“ตอนนั้นผมอยู่นิวยอร์ก นั่งกินข้าวอยู่กับลูกของทรัมป์ ทั้ง 3 คน เพราะเขาสนใจจะมาลงทุนในประเทศไทย” ทักษิณ กล่าว
วันที่ 19 ก.ย.2549 มีประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมีการเชิญผู้นำเหล่าทัพมาร่วมประชุมด้วย เพื่อหารือทางออกสถานการณ์บ้านเมือง รวมถึงความไม่สงบในจังหวัดชายแดนแดนภาคใต้ แต่ปรากฎว่า “บิ๊กบัง” ไม่ยอมเข้าร่วมประชุม และนั่นเป็นสัญญาณบอกเหตุรัฐประหาร
ทักษิณ เล่าถึงตัวเองซึ่งตอนนั้นอยู่ที่นิวยอร์ก ว่า “ย้อนไปก่อนที่ผมจะนอน ซึ่งในเวลาเมืองไทยตอนนั้นก็ประมาณ 10 โมง มีการประชุม ครม.ผมตั้งคำถามกับเสนาธิการทหารบก ปรากฏว่าก็ตอบแบบกวนๆ ผมก็คิดว่าไม่ค่อยจะดีแล้ว ก็เลยสั่งให้ ดร.ชิดชัย (วรรณสถิตย์) กับ หมอพรหมมินทร์ (เลิศสุริย์เดช) ไปเอาร่างคำสั่งสถานการณ์ฉุกเฉินออกมาที่ผมเซ็นทิ้งไว้”
โดยเวลาในช่วงค่ำ ทักษิณ เริ่มรู้ตัวแล้วว่าจะถูกรัฐประหาร จึงเตรียมประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และมีคำสั่งปลด ผบ.ทบ. แต่ปรากฎว่าไม่ทันการณ์
“ปรากฏว่าไม่ทัน มิ่งขวัญ(แสงสุวรรณ) อ่านได้ครึ่งเดียว ไม่จบ เขาก็มีการเข้าเฝ้าฯ ทำให้เราไม่สามารถควบคุมเกมได้” ทักษิณ กล่าวและว่า “คือคนของผม 2 คน ไปตามหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคือ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา วันนั้นรัฐมนตรีกลาโหมของผมถูกพาไปซ่อนที่ไหนก็ไม่รู้ 2 คนนี้ก็ไม่กล้าตัดสินใจ ก็เลยช้าไป ไปประกาศได้ครึ่งเดียว มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ถูกจี้ เขาก็ปิดทีวีช่อง 9 เลยไม่ได้อ่าน ทำให้เราประกาศสภาวะฉุกเฉินไม่ทัน”
กระทั่งวันที่ 20 ก.ย. ทักษิณ มีความพยายามเดินทางกลับประเทศไทย แต่ปรากฎว่า ถูกสกัดไว้ ไม่ให้เดินทางกลับ เขาจึงมุ่งหน้าสู่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
“วันรุ่งขึ้นผมจะขึ้นเครื่องบินกลับ แต่เครื่องบินขึ้นไม่ได้ เขาไม่ให้ขึ้น เพราะฝ่ายปฏิวัติบอกไม่ให้เครื่องบินขึ้น เขากลัวผมกลับเข้าเมืองไทย ถ้าผมกลับเข้าเมืองไทย เขาก็เสร็จผมแน่ ผมโดนลอบยิงมาตั้งหลายคร้ัง ไม่ตาย ผมไม่กลัว แต่จากนั้นผมก็บินไปอังกฤษ แล้วค่อยกลับเมืองไทย ซึ่งก็มีการค้นกันใหญ่เลย มีการบุกเข้าไปค้นตรงนั้นตรวจตรงนี้ ผมก็เลยโทรไปหาเลขา คมช. ว่า เฮ้ย ยังไม่ถึง 24 ชั่วโมง จะบุกกันอย่างนี้เลยเหรอ เพราะเขาจะบุกเข้าบ้านผม ผมบอกถ้าบุกเข้าไปก็ยิงกันนะ ผมก็มีทหารอยู่ในบ้าน แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไป”
อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ของไทย ยังเล่าว่า “หลังจากนั้นก็เริ่มคุยกัน ก็ไม่มีอะไร ผมเป็นลูกผู้ชาย จบเป็นจบ บางคนบอกว่า ทำไมไม่ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น แต่รัฐบาลพลัดถิ่นสมัยนี้กับสมัยก่อนมันไม่เหมือนกัน และผมก็อยากให้ประเทศเดินต่อไป“
ทักษิณ ยังพูดถึงตัวเองว่า เป็นคนซื่อบื้อ แม้แม่เตือนเสมอว่าแม้จะมีความฉลาด ไหวพริบดี แต่ซื่อ เพราะโตมาจากต่างจังหวัด พอมาอยู่กรุงเทพก็อยู่โรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งอยู่ในกรอบ เมื่อเรียนจบก็ได้ทุนไปเรียนปริญญาโทและปริญญาเอกที่อเมริกา ดังนั้น การที่จะได้เรียนรู้สังคมอีลิท หรือสังคมคนในวัง ไม่มีเลย มาเข้าใจอีกทีก็เมื่อลี้ภัยอยู่ต่างประเทศแล้ว
เขา บอกว่า การที่พรรคไทยรักไทย ได้คะแนนเสียงแบบท้วมท้นในปี 2548 เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา
“ก่อนรัฐประหารมีคนไปปล่อยข่าวผมสารพัด ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ก่อนหน้าที่ผมจะเดินทางไปต่างประเทศ มีความพยายามลอบฆ่าผมหลายครั้ง เช่น คาร์บอมบ์ที่สะพานซังฮี้ “
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร เสียดายที่สุดจากการถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 คือ คณะปฏิวัตรฉีกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่ได้ชื่อว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด เท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา