อดีตรองจเร ตร. ชำแหละคดี “โจ้” ทำหนักเป็นเบา…ทุเลาเป็นหาย
อย่างกรณีการแถลงข่าวของผู้กำกับโจ้ ภาษาตำรวจเขาเรียกเป็นความพยายามทำให้หนักเป็นเบาทุเลาเป็นหาย
กรณีอดีตผู้กำกับโจ้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ใช้ถุงคลุมหัวผู้ต้องหาในขณะสอบสวนคดียาเสพติด จนผู้ต้องหาเสียชีวิตนั้น สร้างความอื้อฉาวให้วงการตำรวจครั้งใหญ่ วิกฤตศรัทธาที่ประชาชนมีต่อตำรวจอยู่แล้ว ก็ยิ่งจะน้องลงไปอีก
พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม กล่าวในการเสวนาเรื่อง “ผ่าคดีผู้กำกับโจ้…กับอนาคตปฏิรูปตำรวจไทย” โดยมองกรณีนี้เป็นปรากฎการณ์ที่สะท้อนถึงความเลวร้ายของระบบตำรวจ ซึ่งแท้จริงแล้วความเลวร้ายเช่นนี้นั้นมีอยู่เดิม และเกิดขึ้นมาโดยตลอด เป็นที่รู้กันในวงการตำรวจ
“อย่างกรณีการแถลงข่าวของผู้กำกับโจ้ ภาษาตำรวจเขาเรียกเป็นความพยายามทำให้หนักเป็นเบาทุเลาเป็นหาย จากที่จับเข้ามาเพื่อรีดเอาทรัพย์ 2 ล้านบาท กลายเป็นว่าทำเพื่อประโยชน์ของราชการและประชาชนไปได้ ซึ่งตามเซนส์ของตำรวจด้วยกันนั้น มันไม่ใช่อยู่แล้ว“
พ.ต.อ.วิรุตม์ เชื่อว่าอดีตผู้กำกับโจ้จะถูกลงโทษตามกฏหมายอย่างแน่นอน แต่จะถูกลงโทษในฐานความผิดที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น ฆ่าคนตายโดยไม่ได้เจตนา แต่พฤติการนั้นถือว่าอาจเข้าข่ายฆ่าคนตายโดยเจตนาแบบเล็งเห็นผล ซึ่งโทษสูงสุดคือประหารชีวิต
“ถ้ารูปคดีออกมาว่าเป็นการรีดทรัพย์ ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของตำรวจก็จะไม่ดี แต่ถ้าเป็นเรื่องของยาเสพติด บางคนก็จะรู้สึกว่าเป็นพระเอกก็เป็นได้“
อดีตนายตำรวจผู้นี้ ยังวิเคาะห์ปัญหาเชิงโครงสร้างของวงการตำรวจไทยว่า สาเหตุที่ตำรวจทำเช่นนี้ได้ เพราะตำรวจไทยนั้นมีอำนาจมาก โดยมีทั้งปืนและกำลัง นอกจากนี้ยังมี พ.ร.บ.เสพติด เป็นเครื่องมือในการรีดทรัพย์ กฎหมายดังกล่าวมาตรา 15 อนุญาตให้จับผู้ต้องหามาโดยไม่ต้องส่งพนักงานสอบสวนตาม ป วิ อาญาเป็นเวลา 3 วัน นั่นหมายความว่า ตำรวจสามารถนำผู้ต้องหาไปตระเวนบกตระเวนน้ำ โดยอ้างการหายาเสพติดได้ ถ้าเป็นผู้หญิงก็เอาไปเก็บไว้ตามรีสอร์ทได้เช่นกัน
“คือตำรวจมีความมั่นใจในอำนาจการสอบสวนที่อยู่ในมือตัวเอง เพราะผู้กำกับการฯ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนด้วย ซึ่งสามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การสร้างพยานหลักฐานเท็จ อย่างไรก็ตาม คิดว่าคดีดังกล่าวนี้ ควรให้หน่วยงานอื่นเข้ามาสอบสวน เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ อัยการ
เพราะอัยการประเทศไทยนั่งรออ่านนิยายสอบสวนที่ตำรวจทำสรุปมาให้ ไม่เห็นที่เกิดเหตุ ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้า เพราะอัยการประเทศไทยจินตนาการจากหนังสือที่ตำรวจเขียนมา แม้ทำโดยสุจริตแต่ก็มีความคาดเคลื่อนสูง“
พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญของการปฏิรูปตำรวจ คือการปฏิรูประบบงานสอบสวน ให้มีความเป็นวิทยาศาสตร์ มีหลักประกันของการรวบรวมพยานหลักฐานได้ครบถ้วน งานสอบสวนต้องออกจากระบบยศแบบทหารที่ตำรวจเป็นอยู่ปัจจุบัน ตำรวจไทยเป็นตำรวจที่มียศและวินัยแบบกองทัพบก เรียกว่าก๊อปปี้เดียวกับกองทัพบก
“ดังนั้นทำอย่างไร จึงจะให้ตำรวจมีความเป็นพลเรือนมากขึ้น เพราะปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปมากแล้ว ตำรวจประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลกต่างเป็นพลเรือนทั้งนั้น เขาไม่มีคำว่าผู้บัญชาการตำรวจ มีแต่หัวหน้าตำรวจ เช่น หัวหน้าตำรวจที่กรุงลอนดอน เป็นผู้หญิง ไม่ได้เป็นผู้บัญชาการ ไม่ได้เป็นนายพล“
สำหรับความคืบหน้ากระบวนการปฏิรูปตำรวจ ซึ่งถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญด้วยนั้น พ.ต.อ.วิรุตม์ มองว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดถึงเรื่องการปฏิรูปตำรวจนั้น เป็นการตกกระไดพลอยโจนไปกับการยึดอำนาจเมื่อปี 2557 เพื่อให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารสงบ โดยคาดหวังว่าจะมีการปฏิรูปเกิดขึ้น
“แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกคำสั่งเกี่ยวกับการปฏิรูปตำรวจประมาณ 5-6 ฉบับ ซึ่งนอกจากจะไม่ใช่การปฏิรูปแล้ว ยังถอยหลังลงคลอง เช่นการให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย ยุบสายงานสอบสวน เป็นต้น ผมคิดว่าท่านไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาตำรวจเลย เพราะเมื่อฟังท่านพูดท่านก็บอกแค่ว่าตำรวจขาดโน้นขาดนี่ ก็มีการเพิ่มโน่นเพิ่มนี่เพิ่มเงินเพิ่มรถให้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก”
อดีตนายตำรวจผู้นี้ ชี้แนะว่า การปฏิรูปตำรวจ ต้องให้ตำรวจสังกัดจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องมีอำนาจในการตรวจสอบควบคุมตำรวจ มีอำนาจแต่งตั้งเลื่อนเงินเดือน ให้คุณให้โทษกับตำรวจได้ ซึ่งในอดีตนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดก็มีอำนาจดังกล่าวนี้ แต่มาเปลี่ยนแปลงในภายหลัง ทำให้ตำรวจในปัจจุบันนั้นเลวร้ายกว่าอดีตมาก เพราะการซื้อขายตำแหน่งเมื่อก่อนไม่เคยมี เรื่องเหล่านี้เพิ่งมาพูดกันในช่วง 20 ปีหลังนี้เอง
“การปฏิรูปตำรวจต้องไม่ใช่แค่หลักเกณฑ์ แต่ต้องมองไปถึงโครงสร้างใหญ่ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบ้านเมืองมีประชาธิปไตย และผมไม่คาดหวัง ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ ที่อยู่ในสภาขณะนี้ อย่าไปให้ความสนใจ เหนื่อย ผมผิดหวังมาก ซึ่งร่างสุดท้ายนายกรัฐมนตรีได้ส่งกลับไปให้ตำรวจแก้ ตำรวจมีการปรับแก้หลายจุด ผมมองว่าไม่ได้เป็นการปฏิรูปอะไรมากมาย เพราะได้ถูกแปลงสารตกแต่งแก้ไขโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนกระทั่งประเด็นการปฏิรูปที่อาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ เสนอไว้เหลือแค่ 10 ถึง 20% เท่านั้น“
เขา ยังเน้นย้ำอยู่ที่การปฏิรูปตำรวจ โดยเห็นว่า นายกฯไม่มีภาวะผู้นำ ไม่มีความกล้าหาญและความจริงใจในการแก้ไขปัญหานี้ ทั้งยังไม่ได้ตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชน ยกตัวอย่างกรณีผู้กำกับโจ้ ถามว่านายตำรวจระดับผู้บังคับการต้องรับผิดชอบด้วยหรือไม่ ผู้บัญชาการภาค ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ ผบ.ตร.ความรับผิดชอบหายไปไหนหมด
พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร ทิ้งท้ายว่า สำหรับกรณีผู้กำกับโจ้ โดยปกติแล้ว คนจะเห็นเฉพาะในหนัง ยอมรับว่าเขาเองก็เพิ่งเคยเห็นภาพเช่นนี้จริงๆ และแน่นอนว่าคนทั่วโลกที่เห็นภาพดังกล่าวย่อมสะเทือนใจ