นักวิชาการ ศก. ดิจิทัล หนุน “แชริง อีโคโนมี” แนะลอยตัวค่าโดยสาร “แอปเรียกรถ” ไม่จำกัดโควตา
นักวิชาการด้านเศรษฐกิจดิจิทัลหนุนโมเดล “แชริง อีโคโนมี” หลังภาครัฐไฟเขียว! ร่างกฎหมาย “แอปเรียกรถ” แนะใช้ “ราคาค่าโดยสารยืดหยุ่น – ไม่จำกัดโควตา” หนุนรถบ้านสร้างรายได้เสริม จากการให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน พร้อมเรียกร้องให้ขยายช่วงเวลาขึ้นทะเบียนฯคนขับนาน 2 ปี โดยให้ลงทะเบียนออนไลน์พร้อมได้เอกสารรับรองให้วิ่งรับส่งผู้โดยสารได้ระหว่างรอคิวขึ้น ทะเบียนที่ขนส่งฯ ชี้! ผลักดันเศรษฐกิจแนวใหม่ได้แน่
ดร.สุทธิกร กิ่งแก้ว นักวิชาการด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ที่ปรึกษาสำนักวิจัยมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต และผู้บริหารโครงการวิจัย สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยว่า ในฐานะนักวิชาการที่ศึกษาวิจัยประเด็นเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) มากว่า 10 ปี มองว่า นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ ครม.ให้ความเห็นชอบในหลักการต่อร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้าง บรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. …. ของ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กระทรวงคมนาคม เพราะการเปิดโอกาสให้รถบ้านเข้าร่วมให้บริการรับส่งผู้โดยสารผ่านแอปพลิเคชัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของโมเดล “แชริง อีโคโนมี” (Sharing Economy) หรือเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน สอดรับกับกระแสสังคมโลกยุคใหม่ที่เน้นการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากที่สุด เช่น การนำรถยนต์หรือหรือที่พักอาศัยที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาสร้างรายได้
“โมเดลแชริง อีโคโนมี คือ ตัวจักรสำคัญในการผลักดันและกระตุ้นเศรษฐกิจยุคใหม่ให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออกกฎหมายตัวเเรกที่รองรับรูปเเบบเศรษฐกิจแบ่งปันนี้ เปรียบเสมือนว่า ไทยเราได้รถยนต์ ‘ซุปเปอร์คาร์’ ซึ่งเป็นรถที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้เทคโนโลยีล้ำหน้า มาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคต่อไปของเรา เเต่ต้องดูต่อไปว่า ระเบียบข้อกำหนดภายใต้กฎหมายนี้ ซึ่งจะเปรียบเสมือนเครื่องยนต์เเละเกียร์ที่จะนำมาใช้กับซุปเปอร์คาร์นั้น จะมีความเหมาะสมและสนับสนุน กันหรือ ไม่หวังว่าประเทศเราจะไม่ได้เเค่เปลือกภายนอกที่เป็นซุปเปอร์คาร์ เเต่ภายในเป็นเครื่องเเละเกียร์ สามล้อ?” ดร.สุทธิกร ย้ำ
พร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า “เครื่องยนต์” นั้น หมายถึงการ “กำหนดอัตราค่าโดยสารที่ยืดหยุ่น” (Flexible Price) ซึ่งอยู่ในเงื่อนไขหนึ่งของการจัดทำกฎหมายลูก (ประกาศและระเบียบที่เกี่ยวข้อง) ของทางกรมการ ขนส่งฯ ว่า จะมีการกำหนดให้ยืดหยุ่นมากน้อยแค่ไหน? เพราะหากกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ตายตัว ไม่อ้างอิง “ดีมานด์และซัพพลาย” จะไม่ดึงดูดใจให้ผู้ขับรถให้เข้ามาเพิ่มในระบบเพื่อให้บริการในช่วงที่มี ความต้องการสูง ซึ่งราคาที่ยืดหยุ่นตามกลไกตลาด คือ หัวใจหนึ่งของเเชริงอีโคโนมี เพราะเมื่อความ ต้องการใช้บริการรถเพิ่มขึ้น ระบบก็จะปรับอัตราค่าโดยสารเพิ่มขึ้น ทำให้คนขับพาร์ทไทม์เข้ามาให้ บริการเพิ่ม เมื่อมีจำนวนผู้ให้บริการสมดุลกับผู้ใช้ ราคาก็จะกลับสู่ปกติ ผู้ขับใหม่ก็จะไม่เพิ่มเข้ามาในระบบอีก
“การกำหนดราคาตายตัวไม่เพียงทำให้ ‘รถบ้าน’ ที่วิ่งรับส่งผู้โดยสารอยู่ไม่ได้ แต่ยังทำให้รถแท็กซี่ถูกมองข้ามในการเรียกใช้บริการ เนื่องจากรถบ้านที่ให้บริการผ่านเเอปฯสามารถให้บริการที่ดีกว่าในราคาเท่ากัน ท้ายที่สุดรถแท็กซี่คือผู้ได้รับความเสียหายจากการกำหนดอัตราค่าโดยสารแบบตายตัว”
ดร.สุทธิกร ยกตัวอย่างว่า “ในช่วงเวลาเร่งด่วน หรือเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ เช่น ฝนตกหนัก เทศกาลสำคัญ หากภาครัฐไปกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ตายตัว โดยไม่เปิดช่องให้มีการเรียกอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม สอดคล้อง และสะท้อนกับสถานการณ์ความเป็นจริงในช่วงเวลานั้นๆ ยังจะมีใครยอมออกมาให้บริการ เพื่อเพิ่มปริมาณรถบนท้องถนนที่จะวิ่งรับผู้โดยสารในช่วงเวลาเหล่านั้นบ้าง เพราะราคาที่ตายตัว จะไม่สามารถจูงใจได้อย่างเพียงพอ”
ส่วนประเด็น “ระบบเกียร์” ดร.สุทธิกร ระบุว่า การเปิดให้ผู้ที่มีรถยนต์เเละมีเวลาว่าง สามารถเข้ามาให้ บริการได้อย่างอิสระตามเเนวคิดเศรษฐกิจเเบ่งปัน “โดยปราศจากการกำหนดโควตา” นั้น ส่วนตัว ไม่อยากเห็นการกำหนดโควตา เพราะเกรงจะไปจำกัดสิทธิในการนำรถยนต์บ้านมาร่วมวิ่งให้บริการรับส่ง ผู้โดยสาร และอาจนำไปสู่การซื้อขายสิทธิในการให้บริการเหมือนวินมอเตอร์ไซค์ในปัจจุบัน ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาคอร์รัปชันในท้ายที่สุด
ทั้งนี้ การจะทำให้โมเดล “แชริง อีโคโนมี” มีประสิทธิภาพมากที่สุดจะต้องเปิดกว้างให้มีจำนวนรถยนต์ ที่อยู่ในระบบมากพอ โดยรถในระบบเหล่านี้ย่อมพร้อมที่จะเพิ่มเข้ามาบนท้องถนนเพื่อให้บริการได้ทันที เมื่อมีความต้องการ เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง
อีกประเด็นที่สำคัญไม่ต่างกัน คือ เงื่อนไขและขั้นตอนในการขึ้นทะเบียนรถยนต์รับจ้างทางเลือก ดังกล่าว เพื่อให้ผู้ที่ต้องขึ้นทะเบียนสามารถให้บริการในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่านได้ โดยขั้นตอนเเรก ภาครัฐอาจเปิดให้มีการแสดงความจำนงในการเข้าร่วมการให้บริการผ่านการลงทะเบียนออนไลน์ เพื่อ ให้ได้รับเอกสารการผ่อนผันระหว่างการรอคิวนำรถไปขึ้นทะเบียนที่ขนส่งฯ หลังจากนั้น ให้ทยอยนัดหมายนำรถมาขึ้นทะเบียน ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยอาจกำหนดช่วงเวลา การขึ้นทะเบียนยาวนานถึง 2 ปี เพื่อให้เพียงพอกับจำนวนรถที่ให้บริการอยู่ในระบบนับหมื่นหรือหนึ่งเเสนคันในปัจจุบัน ซึ่งวิธีการกำหนดระยะเวลาขึ้นทะเบียนที่ขนส่งฯให้นานพอ เเละการกำหนดคิวให้ทยอยเข้ามาที่ หน่วยงานรัฐ ไม่เพียงช่วยป้องกันและแก้ปัญหาการแห่นำรถมาขึ้นทะเบียนในช่วงโค้งสุดท้ายของการเปิด ให้ลงทะเบียน แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากที่ต้องมีคนจำนวนมากมาอยู่รวมกัน ในสถานที่เดียวกันได้อีกด้วย
ดร.สุทธิกร ยังระบุด้วยว่า ระหว่างนี้ ใครที่กำลังรอคิวไปขึ้นทะเบียนกับทางขนส่งฯ สามารถใช้ข้อมูลการ ลงทะเบียนออนไลน์เพื่อยืนยันการผ่อนผันให้สามารถนำรถออกมาวิ่งรับส่งผู้โดยสารได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ในช่วงระยะเวลา 2 ปีนี้ ซึ่งจะทำให้มีปริมาณรถยนต์หมุนเวียนอย่างเพียงพอ รองรับความต้องการของ ผู้โดยสารได้ในทุก ๆ ช่วงเวลา และยังสามารถตอบสนองโมเดล “แชริง อีโคโนมี” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สูงสุด.