“อาคม”แนะ! ฟื้นการเงินครัวเรือน – ตลท.สร้างภูมิให้ 3ล.คนไทย
“อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” แนะ 5 แนวทางฟื้นฟูการเงินภาคครัวเรือนไทย ในงาน Happy Money สุขเงินสร้างได้” ของตลาดหลักทรัพย์ ด้าน บิ๊ก’ตลท. เผย! ปีนี้ ตั้งเป้าดึงพันธมิตรภาครัฐและเอกชนร่วมสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้คนไทย 3 ล้านคน ล่าสุด “กบข.-กยศ.-กอช.” ร่วมเซ็นเอ็มโอยู เดินหน้าสร้างความรู้ให้กับสมาชิกแล้ว
วันที่ 22 เมษายน 2564 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เดินหน้า โครงการ “Happy Money สุขเงิน สร้างได้” สร้างความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนการเงินให้คนไทยมีสุขภาพการเงินที่ดี ผ่านช่องทางการประชุมออนไลน์
โดยได้รับเกียรติจาก นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษถึงความสำคัญของการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินคาดปีนี้ส่งเสริมความรู้ประชาชน ครอบคลุม 3 ล้านคนทั่วประเทศ ผ่านการร่วมมือของพันธมิตรลงนาม MOU เดินหน้าส่งเสริมความรู้ทางการเงินกับ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมฟื้นฟูและสร้างภูมิคุ้มกันด้านการเงินสำหรับคนไทย
นายอาคม ระบุตอนหนึ่ง ระหว่างกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ฟื้นฟูการเงินภาคครัวเรือนไทย ภารกิจร่วมใจสร้างภูมิคุ้มกันด้านการเงิน (financial literacy)” ว่า สถานการณ์ด้านการเงินของคนไทยเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญและติดตามใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยที่เพิ่มขึ้น พื้นฐานความรู้ด้านการเงินของคนไทย รวมทั้งการก้าวเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาจึงต้องทำอย่างต่อเนื่องและบูรณาการ ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนที่เน้นให้ความสำคัญใน 5 เรื่อง ได้แก่
1.การสร้างโครงสร้างและกลไกเพื่อเอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ 2.การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้มีทักษะจำเป็นที่สามารถดูแลรับผิดชอบตนเองได้ และหนึ่งในทักษะดังกล่าวคือการเพิ่มพูนความรู้การเงิน การออม 3.การสร้างการตระหนักรู้ของประชาชนให้เห็นถึงความสำคัญของจัดการความเสี่ยงในชีวิตจากการวางแผนที่ดีและมีข้อมูลความรู้ที่เพียงพอ 4.การเร่งฟื้นฟูและสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมในเชิงบวกต่อเรื่องการเงินและการออม และ 5.ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อให้ความรู้ทางการเงิน
ดังนั้น โครงการ “Happy Money สุขเงิน สร้างได้” จึงเป็นโครงการที่เกิดขึ้นในช่วงที่เหมาะสมเพราะการจะฟื้นฟูเศรษฐกิจจะต้องทำควบคู่กับการสร้างศักยภาพของประชาชน โดยร่วมมือกันทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดผลในวงกว้างและรวดเร็ว เพื่อให้คนไทยสามารถบริหารจัดการชีวิตได้อย่างเหมาะสมท่ามกลางสถานการณ์ไม่แน่นอนได้ต่อไป
ด้าน ดร. ภากร ปีตธวัชชัย กก.และผจก. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งพัฒนาตลาดทุนให้เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน หนึ่งในภารกิจสำคัญที่ได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องคือการส่งเสริมความรู้ด้านการเงินให้แก่ประชาชน (financial literacy) ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการสร้างความมั่นคงแก่ชีวิต โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ดำเนิน โครงการ“Happy Money สุขเงิน สร้างได้” ตั้งแต่ปี 2552
โดยร่วมกับองค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนรวมแล้ว 523 แห่ง สร้างพี่เลี้ยงการเงิน 6,003 คน สร้างพื้นที่เรียนรู้ด้านการออมการวางแผนการเงินให้ทั่วถึงและต่อเนื่อง ครอบคลุมพนักงานในองค์กรต่างๆ แล้ว 2.4 ล้านคน และคาดว่า ณ สิ้นปีนี้จะส่งเสริมความรู้ประชาชนรวมกว่า 3 ล้านคนทั่วประเทศ
“โครงการ “Happy Money สุขเงิน สร้างได้” ที่ดำเนินการต่อเนื่องในปีนี้จะมีบทบาทเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านการออมและการวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบ สนับสนุนองค์กรและหน่วยงานต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการให้ส่งต่อความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนาเนื้อหาและรูปแบบการให้ความรู้ผ่านโมเดลพี่เลี้ยงการเงินที่จะช่วยสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทำให้สามารถบริหารรายได้และค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะดำเนินการร่วมกับพันธมิตร เพื่อนำความรู้ไปสู่กลุ่มคนต่างๆ ทั้งนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน และประชาชนทั่วไป” ดร.ภากร กล่าว
ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ลงนามต่ออายุ MOU ส่งเสริมความรู้ทางการเงินร่วมกับ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ต่อเนื่องเพื่อผนึกกำลังขยายการทำงานให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น สร้างความมั่นคงทางการเงินแก่ประชาชนทั่วประเทศอย่างเป็นรูปธรรม.
ขณะที่ ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า ภารกิจการดูแลสมาชิก กบข. กว่าล้านคนทั่วประเทศนั้น นอกเหนือจากการนำเงินออมของสมาชิกไปบริหารสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงสำหรับชีวิตในวัยเกษียณแล้ว กบข. ยังดำเนินการควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้สมาชิกมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการออมและการลงทุนอย่างแท้จริง
ที่ผ่านมา กบข. และ ตลท. ได้ร่วมกันเผยแพร่ความรู้ด้านการวางแผนการเงินให้แก่สมาชิก กบข. อย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาระบบ e-Learningเพื่อให้สมาชิก กบข. ได้เข้าถึงองค์ความรู้ที่เหมาะสม รวมทั้งได้จัดทำคู่มือส่งเสริมความรู้ทางการเงินฉบับสมาชิก กบข. และร่วมบรรยายให้ความรู้สมาชิก กบข. โดยผู้เชี่ยวชาญจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับความร่วมมือในอนาคต กบข. จะประยุกต์องค์ความรู้และสื่อการเรียนรู้ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เข้ากับบริบทของสมาชิก กบข. มากยิ่งขึ้น เพื่อให้สมาชิกสามารถบริหารเงินออมใน กบข. ได้อย่างเข้าใจ และบรรลุเป้าหมายในการมีเงินออมยามเกษียณที่เพียงพอ
ส่วน นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผจก.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เสริมว่า กองทุนฯเป็นหน่วยงานของรัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษาในลักษณะต่างๆ โดยกองทุนได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯตั้งแต่ปีการศึกษา2562 เป็นต้นมา ในการนำองค์ความรู้และสื่อการเรียนรู้ ได้แก่ e-Learning ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำมาให้ความรู้แก่กลุ่มนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืม บุคลากรในสถานศึกษา และผู้ที่สนใจได้เรียนรู้การวางแผนการเงิน การลงทุน และความเป็นผู้ประกอบการ ผ่านระบบ SET e-Learning ซึ่งมีหลักสูตรให้เลือกเรียนกว่า 15 หลักสูตร เมื่อนักเรียนนักศึกษาผู้กู้ยืมเรียนจบแต่ละหลักสูตร สามารถนำไปสะสมจำนวนชั่วโมงจิตสาธารณะให้ครบตามหลักเกณฑ์ที่กองทุนกำหนด
ปัจจุบันมีผู้กู้ยืมที่เข้าเรียนหลักสูตร SET e-Learning แล้วจำนวนกว่า 560,000 ราย ทั้งนี้กองทุนคาดว่าหากผู้กู้ยืมเงินมีความรู้ทางการเงิน จะสามารถบริหารจัดการรายได้ ทรัพย์สินและหนี้สินของตนเองได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนสามารถชำระคืนเงินกู้ยืมให้กองทุนตามกำหนด เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่รุ่นน้องต่อไป โดยกองทุนจะเป็นหลักประกันของทุกครอบครัว เพื่อให้บุตรหลานและนักเรียน นักศึกษาทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน
ด้าน น.ส.จารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า กอช. มุ่งเสริมสร้างระบบบำนาญให้แก่ผู้ที่เป็นแรงงานนอกระบบ แรงงานอิสระ พ่อค้าแม่ค้า เกษตรกร นักเรียน นิสิตและนักศึกษา โดยผู้ที่มีสิทธิสมัครต้องมีอายุ 15-60 ปี เริ่มต้นออมตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี ซึ่งผู้ที่เป็นสมาชิก กอช. จะได้รับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐตามช่วงอายุของสมาชิก สูงสุดไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี และเงินออมสะสมสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวน
โดยความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านการสร้างวินัยการออม การลงทุน รวมถึงการวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุได้อย่างมีคุณภาพ ผ่านการออมกับ กอช.ทำให้มีสุขภาพการเงินที่ดี
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังช่วยส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้แก่ประชาชน ภาคีเครือข่าย พนักงาน สมาชิก กอช. และกลุ่มเป้าหมายที่คาดว่าจะเป็นสมาชิก กอช. ผ่านองค์ความรู้และสื่อการเรียนรู้ต่างๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ อาทิ การจัดอบรม Train the Trainers การพัฒนาเนื้อหาและสื่อการเรียนรู้เพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ กอช. เพื่อให้ได้องค์ความรู้ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของ กอช. การเผยแพร่สื่อออนไลน์สำหรับแรงงานนอกระบบ และนักเรียน นักศึกษา โดยมุ่งหวังให้ กอช. เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างวินัยการออมเพื่ออนาคตสำหรับเยาวชนไทย.