สิงคโปร์..อีกมุมที่น่ามอง
สิงคโปร์นั้นเป็นประเทศเล็ก ๆ ประเทศหนึ่งที่เป็นจุดสำคัญบนแผนที่โลกเสมอมาตั้งแต่ครั้งที่โลกอยู่ในยุคล่าอาณานิคม
นั่นเพราะสิงคโปร์เป็นเกาะที่เป็นทางผ่านเชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิกเข้าไว้ด้วยกันที่บริเวณช่องแคมมะละกา ใครมีอพาร์ทเมนต์ให้เช่าหรือเคยเล่นเกมเศรษฐียุคที่ยังใช้กระดานกับลูกเต๋าเล่นคงจะเข้าใจดีว่าการนั่งเฉย ๆ แล้วรอเก็บค่าผ่านทางนั้นสุดแสนจะสบาย เพียงแต่สิงคโปร์นั้นยกระดับจากการเป็นเพียงเมืองทางผ่านไปอีกหลายระดับมาก การพัฒนาของสิงคโปร์จึงเติบโตไม่หยุด
สิงคโปร์ทุกวันนี้เป็น Financial Center ไม่ใช่เพียงของภูมิภาคอาเซียน แต่เป็น Financial Hub ทีสำคัญมากของโลก การเงินการลงทุนไหลผ่านสิงคโปร์แล้วจึงกระจายไปสู่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค การไหลผ่านของเงินทุนจำนวนมหาศาลนี้เอง สร้างรายได้จำนวนมหาศาลให้กับสิงคโปร์ บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ก็มักเลือกสิงคโปร์เป็นที่ตั้งสำนักงาน ทำให้เกิดตำแหน่งงาน พร้อมทั้งมีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยในสิงคโปร์เป็นจำนวนมาก ทำให้สิงคโปร์เป็นเมืองหนึ่งที่มี Diversity หรือความหลากหลายทางด้านชาติพันธ์มากที่สุดเมืองหนึ่งเลย
แต่สิ่งที่น่าสนใจของสิงคโปร์ไม่ใช่เรื่องความเก่งกาจสามารถในด้านการหาเงิน (สิงคโปร์มี GDP มากกว่าอเมริกาและยุโรปเกือบทุกประเทศ) ของสิงคโปร์ แต่การจัดการที่เด็ดขาดของสิงคโปร์ได้สร้างให้ประชากรของสิงคโปร์มีคุณภาพ ถึงแม้จะได้ยินเสียงบ่นพร่ำจากประชาชนชาวสิงคโปร์ในแง่มุมต่างๆเรื่องรัฐบาล แต่เราก็ไม่สามารถเถียงได้ถึงความสามารถในการจัดการให้ทุกเรื่องเป็นไปได้อย่างราบรื่นและสงบสุข รวมถึงประชาชนมีความเป็นอยู่และมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากอีกด้วย
นักท่องเที่ยวผู้เพิ่งเคยมาเยือนสิงคโปร์อาจต้องแปลกใจที่เห็นคนสูงอายุมักจะมาทำงานประเภทที่เรียกว่า Public Service เช่นทำความสะอาดกวาดชานชะลารถไฟ พนักงานเก็บตั๋ว พนักงานตัดแต่งต้นไม้ รวมถึงกำกับความปลอดภัยให้คนข้ามถนน นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะคนไทยเราจะรู้สึกแปลกใจทำไมถึงให้คนแก่ทำงานหนัก แต่นั่นเป็นเพราะรัฐบาลสิงคโปร์เปิดโอกาสให้คนสูงอายุที่ยังต้องการทำงานไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ได้ทำงานก่อน ปรากฏว่าคนแก่ของสิงคโปร์เลือกที่จะออกมาทำงานจนไม่เหลือที่ว่างให้คนหนุ่มสาวเข้าทำงานเลย เพราะคนสูงอายุเหล่านั้นต่างก็ยังอยากทำงานอยู่ ไม่ต้องการเป็นภาระให้ใคร
นอกจากความสะอาดอย่างน่าเหลือเชื่อ ที่ถึงแม้จะไม่ค่อยเห็นพนักงานมาคอยกวาดถนนเท่าไหร่ ก็เหมือนว่าพื้นสะอาดอยู่ตลอดเวลา นั่นก็เพราะไม่มีคนทิ้งขยะลงบนพื้นนั่นเอง ถังขยะในสิงคโปร์ถ้าเทียบแล้วก็มถือว่ามีมากพอๆกับที่กรุงเทพนั่นเอง แต่ปริมาณขยะที่ถูกกวาดโดยพนักงานกทม.นั้นเทียบกันไม่ได้ หากเทียบปริมาณถังขยะในที่สาธารณะของสิงคโปร์กับเยอรมันนีแล้ว เยอรมันแทบจะมองไม่เห็นถังขยะสาธารณะเลย แต่ก็ใช่ว่าจะมีชิ้นขยะให้เห็นเช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้อาจบอกให้เห็นอะไรบางอย่าง
น่าแปลกที่เราไม่ค่อยเห็นรถติดเท่าไหร่นักในสิงคโปร์ เพราะรัฐบาลควบคุมการถือกำเนิดรถอย่างยิ่งยวด รถยนต์อาจราคาไม่แพงไปกว่าเมืองไทยนัก แต่ป้ายทะเบียนนั้นราคาหลายแสนบาท อีกทั้งยังมีกฎจราจรที่เคร่งครัดมาก คนไทยที่ย้ายไปอยู่สิงคโปร์ใหม่ ๆ แล้วจำเป็นต้องขับรถให้ทำใจเตรียมค่าปรับเอาไว้เลย เพราะกฎจราจรที่สิงคโปร์นั้นเอาจริงแบบไม่มีต่อรองให้เสียเวลา ถนนบางถนนที่เป็นถนนสายธุรกิจนั้นมีการจำกัดชั่วโมงรถวิ่ง หากขับรถ (หรือจอดรถ) อยู่ในโซนที่กำหนดเกิดเวลาที่ระบุ จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมชนิดที่เรียกว่าลืมไม่ลงกันเลยทีเดียว
สิงคโปร์สามารถออกกฏจราจรและคุมกำเนิดรถใหม่ป้ายแดงได้ ก็เพราะระบบขนส่งมวลชนในสิงคโปร์นั้นสุดแสนสะดวกสบาย รถไฟใต้ดินครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ จุดเชื่อมต่อแต่ละ Line เดินไม่ไกลมาก (ไม่ใช่เดินเป็นกิโลเหมือนปารีส) และก็ไม่ต้องขึ้น ๆ ลง ๆ บนดิน ใต้ดิน ลอยฟ้าให้เสียเวลาเหมือนบางประเทศ สถานีและรถไฟฟ้าสะอาดและสะดวกราคาไม่แพง จึงได้รับความนิยมมาก การไม่มีรถในสิงคโปร์จึงเป็นเรื่องที่ไม่ลำบากนัก ถึงแม้ว่าอากาศจะร้อนตับแตกเหมือนกรุงเทพ แต่ก็ไม่รู้สึกลำบากเพราะถึงแม้จะร้อน แต่ไม่เหนียวเหนอะตัวเพราะฝุ่นควันรถติด
การขึ้นรถไฟใต้ดินของสิงคโปร์ยามเย็น ความรู้สึกไม่ต่างจากขึ้น BTS ในเมืองไทย คือทุกคนอยู่กันเงียบ ๆ ในโลกของมือถือตรงหน้าเหมือนกัน ถ้าลองแอบส่องว่าคนสิงคโปร์ดูอะไรในมือถือ ก็จะเห็นหน้าพระเอกนางเอกละครไทยที่กำลังพูดภาษาฮกเกี้ยนดูแล้วให้ขำ ๆ คนสิงคโปร์ติดละครไทยมากกว่าเกาหลี อาจเพราะมีรสนิยมคล้าย ๆ กัน ดาราที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ขนาดที่สาว ๆ สิงคโปร์พูดถึงแล้วทำหน้าเคลิ้มได้แก่ โดม มาริโอ้ ถ้าฝ่ายหญิงก็จะเป็นใหม่ ดาวิกาเป็นต้น
โปรแกรมหนังในสิงคโปร์นั้นแทบจะเหมือนกับโปรแกรมหนังของเมืองไทย คือมีหนังฮอลลีวู้ดเป็นหลัก มีหนังไทยบ้าง และมีหนังสิงคโปร์บ้าง ส่วนหนังอินเดียส่วนมากจะฉายในโรงเฉพาะที่สำหรับชาวมาเลย์ในสิงค์โปร์
เรื่องสุดท้ายคือเรื่องอาหารการกินของสิงคโปร์ ซึ่งมีเยอะมากไม่แพ้กรุงเทพ (ยกเว้นอาหารรถเข็น) ราคาทั่ว ๆ ไปก็แพงกว่าบ้านเรานิดหน่อย ประมาณกินฟู้ดคอร์ทในห้าง สำหรับอาหารที่เป็นร้านอาหารที่เห็นมากที่สุดจะเป็นอาหารจีน ซึ่งมีทุกจีนไม่ว่าจะเป็นอาหารฮกเกี้ยนหรืออาหารจีนจากมณฑลอื่นๆ ส่วนประกอบของอาหารค่อนข้างเหมือนกับบ้านเรา อาหารแขกหรืออาหารอินเดียมักเห็นแค่รอบ ๆ Little India ส่วนร้านอาหารที่เป็นระดับภัตราคารก็มีจีน อิตาเลียน เป็นหลัก กลับไม่ค่อยเห็นอาหารญี่ปุ่นมากทุกถนนเหมือนในเมืองไทย สิงคโปร์ยังถือว่าเป็นเมืองที่มีเชพระดับมิชลินรวมอยู่มากที่สุดเมืองหนึ่ง เป็นรองก็แค่นิวยอร์คเท่านั้นเอง
พูดถึง Little India แล้วถ้าใครอยากใช้กล้องให้เต็มประสิทธิภาพที่พิกเซลสูงที่สุดแล้วห้ามพลาดเด็ดขาด เพียงนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี NE7 Little India ก็จะพบว่าคุณเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง จริง ๆ แล้วคุณไม่มีทางหลงได้เลย เพราะแค่เพียงเดินตามพี่ ๆ ที่หน้าตาอินเดียจำนวนมากมาเรื่อย ๆ ก็จะพบเอง ภาพแรกที่เห็นคือโปสเตอร์และป้ายโฆษณาสีสันฉูดฉาดบาดตา พร้อมกลิ่นสมุนไพร ยี่หร่าและเมล็ดพันธ์หน้าตาแปลก ๆ กรุ่นไปทั่วบริเวณ ที่ห้ามพลาดคือการลองชิมอาหารอินเดียที่มีทั้งที่เป็นร้านกึ่งภัตตาคารและรถเข็น อาหารอินเดียที่นี่มีทั้งที่เป็นมังสวิรัติและไม่มังสวิรัติ ก่อนสั่งให้ตั้งหลักให้ดีว่าคุณต้องการสั่งอะไร จนเมื่อมั่นใจแล้วค่อยไปต่อคิว จะมัวไปถามว่าแต่ละอันเป็นอะไรยังไงที่หน้าเค้าเตอร์ให้เก้ ๆ กัง ๆ ก็อาจจะดูไม่เข้าที เพราะพี่แขกข้างหลังมักมีหน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่
การเที่ยวสิงคโปร์นั้นไม่ยาก แทบไม่ต้องเตรียมตัวอะไร ซื้อตั๋วก็ไปได้เลยไม่ต้องขอวีซ่า เงินสดใช้ได้ดีเสมอ แต่ร้านค้าส่วนใหญ่ก็รับบัตรเครดิตด้วย การใช้บัตรเครดิตในสิงคโปร์ไม่ต้องนั่งดูโปรโมชั่นบัตรให้เสียเวลา เพราะไม่มีส่วนลดบัตรเครดิตให้ปวดหัว เท่าไหร่ก็เท่านั้น การกินอาหารอาจต้องเช็คเรื่อง VAT และ Service Charge ซึ่งส่วนมากร้านอาหารจะรวมเข้าไปในราคาอาหารอยู่แล้ว แต่ร้านในโรงแรมยังมีธรรมเนียมเก็บอยู่ บางที่มีเก็บ Tourist Charge อีก 3% ด้วย ต้องเช็คดีๆ จะได้ไม่ต้องตกใจหน้าแตกกับบิลค่าอาหาร