จีนขอสหรัฐฯยกเลิกภาษี/คว่ำบาตร
ปักกิ่ง – เมื่อวันที่ 22 ก.พ. หวังอี้ รมว.ต่างประเทศของจีนเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯหยุดกดดันบริษัทเทคโนโลยีของจีน ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ความสัมพันธ์สหรัฐฯ – จีนรุดหน้า
จากความกังวลด้านความมั่นคงของชาติ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้มีมาตรการคว่ำบาตรบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีนหลายสิบแห่งในช่วงสามปีที่ผ่านมา
บริษัทหัวเว่ย ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีนน เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำที่ประสบกับภาวะความยากลำบากจากคำสั่งนี้ โดยผลของการคว่ำบาตรทำให้ให้บริษัทดิ่งร่วงจากตำแหน่งผู้ขายสมาร์ทโฟนทั่วโลกอันดับ 1 ลงมาอยู่อันดับ 6 ในปีที่แล้ว
จีนขอให้สหรัฐฯยกเลิกภาษีและมาตรการคว่ำบาตรกับบริษัทของจีน และ ยุติการกดดันกระบวนการเทคโนโลยีของจีนอย่างไร้เหตุผล เพื่อให้สามารถสร้างเงื่อนไขที่เหมาะสมสำหรับความร่วมมือของจีนกับสหรัฐฯ จากถ้อยแถลงของรมว. หวังอี้
โดยเขายังเรียกร้องให้สหรัฐฯสนับสนุนนักศึกษาจากจีนที่ไปศคกษาต่อในสหรัฐฯ และยกเลิกมาตรการคุมเข้มกับกลุ่มวัฒนธรรมและสื่อในสหรัฐฯ จากถ้อยแถลงที่เขากล่าวในการประชุมที่กรุงปักกิ่งในหัวข้อ “ นำความสัมพันธ์จีน – สหรัฐฯกลับเข้ามาสู่ทิศทางที่ถูกต้อง”
มีความตึงเครียดระหว่างสองประเทศมหาอำนาจมากขึ้นภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งใช้วิธีการขึ้นภาษีและขึ้นบัญชีดำเพื่อขานรับกับคำกล่าวอ้างที่ว่าจีนขาดการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และกำหนดให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้จีน และมีการครอบงำของรัฐบาลในตลาด
ขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะมีการจัดการกับประเด็นนี้อย่างไร แต่เขายังคงไม่มีท่าทีจะเปลี่ยนแปลงนโยบายเหล่านี้ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในทำเนียบขาวเมื่อหนึ่งเดือนก่อน
สัปดาห์ก่อน เจเนต เยลเลน รมว.คลังสหรัฐฯระบุว่า มาตรการภาษีที่มีขึ้นในสมัยทรัมป์ยังเหมือนเดิม และหากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็จะขึ้นอยู่กับการยึดมั่นในข้อตกลงทางการค้าของจีน
คาดการณ์ว่าไบเดนจะให้ความสำคัญในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนมากยิ่งขึ้น ทั้งฮ่องกง ซินเจียง และทิเบต ขณะที่หวังกล่าวซ้ำเมื่อวันที่ 22 ก.พ.ว่า ประเด็นในภูมิภาคเหล่านั้นเป็นกิจการภายในของจีน และความสัมพันธ์กับสหรัฐฯจะไม่พัฒนาขึ้นได้หากไม่มีความเคารพในสถานะของจีน
กุ้ยเทียนไค ทูตจีนประจำสหรัฐฯ ยังระบุในวันเดียวกันว่า จีนและสหรัฐฯต้องชัดเจนเรื่องพรมแดนในนโยบายต่างประเทศ โดยเน้นว่า ประเด็นที่ไม่ควรล้ำเส้นเรื่องพรมแดนของจีนคือไต้หวัน ซินเจียง และทิเบต
ผุ้นำของทั้งสองประเทศยังคงเปิดกว้างที่จะประสานความร่วมมือกันในบางประเด็น เช่น การลดจำนวนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
หวังระบุว่า ทั้งสองประเทศสามารถทำงานร่วมกันในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจทั่วโลก และเน้นว่าจีนยังคงสนับสนุนธุรกิจอเมริกันในจีนต่อไป
บทวิเคราะห์ที่เผยแพร่จากหอการค้าอเมริกันเมื่อสัปดาห์ก่อนพบว่า หากสหรัฐฯขายการลงทุนโดยตรงในจีนออกไปครึ่งหนึ่ง รายได้จากการลงทุนของสหรัฐฯจะหายไปถึง 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี โดยรายงานชี้ว่า นโยบายต่อต้านจีนควรล็อกเป้าเฉพาะจุด ไม่ใช่หว่านจนทั่วไปหมด