“K-KaTE” เวชสำอางค์ระดับพรีเมี่ยม
จุดเริ่มต้นของธุรกิจถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการกำหนดทิศทาง หรือยุทธศาสตร์ในการสร้างตลาด เพื่อขยายฐานลูกค้า เพราะจะทำให้รู้ได้ว่ากลุ่มลูกค้าอยู่ที่ใด และสามารถเข้าไปทำตลาดได้อย่างตรงจุด และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
“K-KaTE” (เคเคท) เป็นแบรนด์เวชสำอางที่มีจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนในการตอบสนองความต้องการใช้งานของตัวเจ้าของ ซึ่งเป็นผู้ที่ผิวไวต่อการถูกกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้จากสารสังเคราะห์ โดยเฉพาะในเครื่องสำอางต่างๆ ดังนั้น จึงทำการศึกษาอย่างจริงจังในศาสตร์ที่เรียกว่าเวชสำอางค์ จนได้มาเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบที่มีสูตรเฉพาะตัว เพื่อนำเสนอสู่ผู้บริโภค
จากผู้ใช้สู่ธุรกิจ
ชนม์นิภา สันป่าแก้ว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เคเคท (2016) จำกัด บอกว่า ต้นกำเนิดของแบรนด์มาจากการที่เจ้าของเป็นผู้ใช้งานเวชสำอางค์ที่ถูกผลิตขึ้นจากโรงงานแห่งหนึ่งที่รับจ้างผลิตให้กับเฉพาะแพทย์ทางผิวหนังและสถาบันโรคผิวหนัง ไม่เคยผลิตให้กับบริษัทที่ต้องการนำไปสร้างเป็นธุรกิจ โดยที่ผู้ก่อตั้งและกลุ่มเพื่อนประมาณ 15 คน เป็นผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์จริงแล้วเห็นถึงประสิทธิภาพ จึงเกิดแนวคิดต้องการกระจายผลิตภัณฑ์ที่ดีให้ผู้อื่นได้ใช้ด้วย หลังจากทั้งหมดจึงรวมตัวกันก่อตั้งบริษัทขึ้นมาเมื่อปี 2549 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อได้ใช้งานผลิตภัณฑ์ ซึ่งแต่ละคนก็จะมียอดซื้อของตน พร้อมทั้งนำไปแนะนำให้กับผู้อื่น จนทำให้ผลิตภัณฑ์มียอดจำหน่ายเติบโตอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทจำหน่ายจะมีเพียงไม่กี่ประเภท โดยจะเลือกเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น ครีมรักษาฝ้า โดยมองเห็นว่าคนไทยเป็นชนชาติที่ต้องประสบพบเจอกับปัญหาฝ้ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของเม็ดสี โดยส่วนใหญ่จะนิยมรักษาด้วยการทำเลเซอร์ ซึ่งจะต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก บริษัทจึงได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนา (R&D) จนได้สูตรพิเศษ ที่สามารถทำให้ฝ้า หรือกะจางลง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน โดยสามารถเห็นผลได้ภายใน 1 อาทิตย์
นอกจากนี้ ยังมีโฟมล้างหน้าที่ทำจากถ่านไม้ไผ่จากญี่ปุ่น ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการเผาโดยใช้ความร้อนสูง เพื่อให้เกิดประจุลบทำปฏิกิริยา โดยจะทำหน้าที่เข้าไปจับอนุมูลอิสระนั้นๆกลายเป็นออกซิเจน ช่วยแก้ปัญหาไขมันอุดตันที่อยู่ใต้ผิวหนังให้ดันตัวออกมาได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
“ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ประกอบด้วย เซรั่มผลัดเซลล์ผิวหน้า ,เซรั่มบำรุงผิวหน้า ,ครีมกันแดดนาโน ,ครีมกันแดดผสมสีเบส ,ครีมฝ้า และโฟมล้างหน้าจากถ่านไม้ไผ่”
ธัญลักษณ์ ทองอินทร์ หัวหน้าฝ่ายขายของบริษัท กล่าวว่า กลุ่มลูกค้าของแบรนด์ K-KaTE จะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ระดับกลางจนถึงระดับบน เนื่องจากผลิตภัณฑ์เป็นแบบพรีเมี่ยม แต่บริษัทเองพยายามนำเสนอในราคาที่ลูกค้าสามารถรับได้ โดยไม่ได้มุ่งหวังถึงผลกำไรที่มากมาย แม้แบรนด์เองจะได้รับการติดต่อให้นำไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า แต่ก็ต้องปฏิสเธไปเพราะไม่ต้องการปรับราคาเพิ่มให้เป็นภาระของลูกค้า เพื่อให้คุ้มค่ากับการถูกหักส่วนแบ่งจากการจำหน่ายภายในห้างซึ่งมากกว่า 30% โดยเลือกที่จะจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ,เว็บไซด์ ,ไลน์ และการใช้เครือข่ายส่วนตัวของหุ้นส่วนแต่ละคน
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันแบรนด์ได้มีการปรับกลยุทธ์โดยมีทีมขายเพื่อเข้าหาลูกค้าโดยตรง ซึ่งจะช่วยเรื่องการทำให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสรับฟังข้อมูลถึงสรรพคุณ และได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังมีการปรับแพคเกจให้มีขนาดเล็กลงในส่วนของผลิตภัณฑ์รักษาฝ้า โดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมจากลูกค้า ซึ่งเดิมทีจะมีแต่กระปุกขนาดใหญ่ เพื่อให้ลูกค้าที่มีรายได้ไม่สูงมากได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ โดยมั่นใจว่าลูกค้าจะกลับซื้อแบบกระปุกใหญ่เมื่อใช้แล้วเห็นผลจริง นอกจากนี้แบรนด์ยังดำเนินการเรื่องการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในต่างจังหวัด เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ได้กระจายไปสู่กลุ่มลูกค้าเพิ่มมากขึ้น
“แบรนด์มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นจากการที่ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เห็นว่าได้ผลดี จึงแนะนำให้กับเพื่อนได้ใช้ต่อ เรียกว่าจากผู้ใช้กลายเป็นผู้จำหน่ายไปด้วยพร้อมๆกัน ทำให้ผลิตภัณฑ์ถูกกระจายไปยังลูกค้ากลุ่มอื่นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้แบรนด์ยังมีโปรโมชั่นที่จะออกมาในแต่ละช่วงเวลาอย่างสม่ำเสมอ”
ผลิตภัณฑ์มีความสดใหม่เสมอ
ชนม์นิภา บอกต่อไปว่า ผลิตภัณฑ์เวชสำอางค์จะไม่เหมือนกับเครื่องสำอาง โดยเวชสำอางค์จะเป็นยาที่ช่วยรักษาผิว รวมถึงฟื้นฟูสภาพผิวให้เหมาะสมตามวัยอย่างที่ควรจะเป็น ขณะที่เครื่องสำอางค์จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกใช้งานเพื่อสร้างความสวยงามให้กับร่างกาย ซึ่งหากจะเปรียบเทียบเวชสำอางก็คือตัวตึกที่เป็นปูน หรืออิฐคอนกรีตที่ก่อขึ้นมาเพื่อสร้างความแข็งแรงคงทนให้กับบ้านแบบถาวร ขณะที่เครื่องสำอางค์จะเป็นเหมือนสีทาบ้าน บริษัทจึงเลือกมุ่งเน้นแต่เวชสำอางค์เป็นหลัก
สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์แบรนด์ K-KaTE อยู่ที่การคัดสรรวัตถุดิบระดับพรีเมี่ยมมาเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตไม่ว่าจะเป็นแร่ทองคำ หรือถ่านจากไม้ไผ่ โดยจะไม่ผลิตครั้งละมากๆแต่จะทำตามยอดคำสั่งซื้อที่คาดว่าจะมีเข้ามาในแต่ละเดือน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความสดใหม่ตลอดเวลา เพราะบริษัทมีประสบการณ์อยู่แล้วว่าความต้องการของลูกค้าจะมีมากขนาดไหน
“สูตรของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทยังเป็นสูตรที่ได้จากแพทย์โดยตรง ซึ่งบริษัทจะนำมาเพิ่มส่วนผสมให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ลูกค้าได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่มีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด ซึ่งสามารถป้องกันแดดได้มากกว่าค่า SPF ที่ระบุไว้ แต่เนื่องจากจะต้องทำตามที่สำนักงานอาหารและยากำหนด (อย.) ในการบอกสรรพคุณของผลิตภัณฑ์ เป็นต้น”
วางเป้าหมายเติบโตทุกปี
ธัญลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เป้าหมายของบริษัทนั้น ทุกปีจะต้องเติบโตแต่จะไม่โตแบบตูมตาม โดยปีนี้เชื่อน่าจะโตกว่าปีที่แล้วประมาณ 30% ซึ่งในทุกปีบริษัทจะพยายามรักษาระดับในกาเติบโต โดยการตั้งเป้าของบริษัทคือการกระจายผู้ใช้ให้มากขึ้น เพราะการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้ก็คือยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป้าหมายของการขึ้นสู่จุดสูงสุดของธุรกิจแต่ละผู้ประกอบการจะไม่เหมือนกัน โดยบริษัทจะมุ้งเน้นการรักษาระดับให้คงที่และเพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่มีตกลงจากวันแรกที่ก่อตั้ง
“เจ้าของธุรกิจเลือกทำธุรกิจแบบที่มีความสุข ทั้งกายและใจ เพราะฉะนั้นคำแนะนำที่มอบให้กับพนักงานก็คือก็ทุกคนเริ่มทำงานอย่างมีความสุขก่อน หากมีความชอบแล้วก็จะสามารถทำงานออกมาได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องคำนึงถึงเป้าว่าจะต้องได้เท่าไหร่ โดยเชื่อว่าเมื่อทุกอย่างถูกทำออกมาจากภายใน จุดหมายปลายทางของความสำเร็จก็อยู่อีกไม่ไกล โดยสิ่งที่แตกต่างของ K-KaTE คือคุณภาพ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ทำอะไรที่ส่งผลตอการทำให้ชื่อเสียงเสื่อมเสีย โดยผลิตภัณฑ์จะต้องมีความสดใหม่อยู่เสมอ”