สกินเทค จับนวัตกรรมเพิ่มมูลค่าข้าวไทยสู่เครื่องสำอาง

ตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยถือว่าเป็นตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล โดยจะเห็นได้จากกลุ่มผู้เล่นหน้าใหม่ที่ตบเท้าเข้ามาชิงส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างไม่ขาดสาย มีบ้างที่ต้องล้มลุกคลุกคลานไม่สามรถเอาตัวรอดได้บนสมรภูมิการแข่งขันที่ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด แต่ก็มีบางรายที่สามารถเป็นเศรษฐกิจเงินล้านได้ทั้งที่ยังอายุน้อย เพราะสามารถเข้าทำตลาดได้ถูกช่องทาง
บริษัท สกินเทค อินเตอร์โปรดักส์ จำกัด คือผู้ประกอบการที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการ จนสามารถเป็นได้ทั้งผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าได้ตัวบริษัทเอง รวมถึงรับจ้างผลิตให้กับผู้ประกอบกรรายอื่นเพื่อนำไปใส่เป็นแบรนด์ของตน (OEM) และการเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยดีไซน์ (ODM) เรียกว่าครบวงจรเรื่องเครื่องสำอาง
เชื่อมนวัตกรรมสร้างผลิตภัณฑ์
ปัจจุบัน บ.สกินเทคฯ ภายใต้การนำของ สุพัฒน์ เลาระวัตร ซึ่งมีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ บอกให้ฟังว่า บ. ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยนำนวัตกรรมเข้ามาปรับใช้ในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อบริโภค ล่าสุดได้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ล้างหน้ารูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนใคร และถือเป็นเจ้าแรกในตลาด ด้วยการเป็นผงล้างหน้าจากสารสกัดข้าวไทยสายพันธุ์ GI หรือข้าวที่เพาะปลูกในพื้นที่ซึ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) จากเดิมที่ตามปกติผลิตภัณฑ์ล้างหน้าทั่วไปส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบของโฟม

ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นนวัตกรรมที่พัฒนามาจากข้าวไทย ซึ่งมีคุณสมบัติสำคัญในการเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก เนื่องจากข้าวไทยแบบ GI ซึ่งเป็นการปลูกในที่เฉพาะ โดยเลือกใช้พันธุ์ข้าวสังข์หยด จากจังหวัดพัทลุง และข้าเหนียวเข้าวง จากจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งจะมีวิตามินและแร่ธาตุที่แตกต่างจากข้าวทั่วไป เมื่อนำมาสกัดเป็นเครื่องสำอางจะช่วยทำให้ผู้ใช้มีผิวพรรณที่ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าจากข้าวเปลือกธรรมดา ซึ่งส่วนใหญ่จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 10 บาทต่อกิโลกรัมได้ถึง 400 เท่า
“เราสามารถเพิ่มมูลค่าจากข้าวเปลือกธรรมดาได้ถึง 400 เท่า โดยเราจะรับซื้อข้าวเปลือกจากแปลงที่เป็นเกษตรอินทรีย์ เพื่อนำมาสีด้วยเครื่องสีในโรงงานของบริษัทเอง ซึ่งปริมาณข้าว 60 กรัมที่ผ่านนวัตกรรมให้เป็นผลิตภัณฑ์แล้วสามารถขายได้ที่ 800 บาท”
รุกตลาดทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับกลยุทธ์ในการทำตลาดนั้น ล่าสุดบริษัทได้นำผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายแล้วในเครือของเดอะมอลล์กรุ๊ป โดยมุ่งหวังเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงผู้สูงอายุ อีกทั้งปัจจุบันก็อยู่ในขั้นของการเจรจาทางธุรกิจกับเครือเซ็นทรัล และจะขยายสู่ช่องทางอื่นเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานลูกค้า ขณะที่ในส่วนของการทำตลาดต่างประเทศ บริษัทได้เริ่มนำผลิตภัณฑ์ไปทำตลาดแล้วที่ประเทศจีน แต่ยังมีจำนวนไม่มาก
อย่างไรก็ดี บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ ในการเดินทางไปร่วมงานแสดงสินค้าที่ยุโรป เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จักของบริโภคในโซนดังกล่าว นอกจากนี้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน บริษัทมีแผนที่จะเข้าร่วมงานแสดงสินค้าประเภทเครื่องสำอางที่ประเทศเกาหลี ภายใต้ชื่องาน อินเตอร์ชาร์ม (inter CHARM BEAUTYEXPO KOREA) โดยมองว่าตลาดเครื่องสำอางของเกาหลีเป็นตลาดที่ใหญ่รองจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งการที่บริษัทไปเปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายในงานดังกล่าว เชื่อว่าจะช่วยเป็นช่องทางกระจายสินค้าเครื่องสำอางไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก
“จากกลยุทธ์การทำตลาดในรูปแบบดังกล่าวเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ผงล้างหน้าจากสารสกัดข้าวไทยสายพันธุ์ GI จะสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ประมาณ 2-5 ล้านบาทต่อเดือน หรือประมาณ 36-40 ล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการขยายตามยุทธศาสตร์ที่วางเอาไว้”
ต่อยอดสู่น้ำตบหน้าหมักแบบสาโท
นายสุพัฒน์ กล่าวต่อไปอีกว่า บริษัทยังเตรียมต่อยอดแตกไลน์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากข้าวไทยไปสู่ น้ำตบหน้า เพื่อบำรุงผิวให้กระชับ และกระจ่างใส โดยทำมาจากน้ำซาวข้าว ซึ่งเป็นการนำภูมิปัญญาชาวบ้านมาประยุกต์ใช้ โดยข้าวของบริษัทจะไม่มีสารเคมี ดังนั้น จึงปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค ซึ่งกระบวนการผลิตนั้นจะใช้วิธีการทางด้านชีวภาพเพื่อให้ได้สารสำคัญจากข้าวออกมาด้วยกรรมวิธีแบบเหล้าสาโท โดยแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ในรูปแบบเดียวกันนี้ของแบรนด์จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งใช้วิธีการหมักแบบสาเก
“ผลิตภัณฑ์ น้ำตบหน้า ของบริษัทจะออกสู่ตลาดประมาณช่วงเดือนพฤศจิกายน เพื่อให้ทันออกงานแสดงสินค้าเครื่องสำอาง อินเตอร์ชาร์ม ที่ประเทศเกาหลี เพื่อสร้างความรับรู้ให้กับผู้ซื้อ (Buyer) จากต่างประเทศ โดยเชื่อว่าด้วยคุณภาพของข้าวไทยที่ไม่แพ้ชาติใดโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสารอาหาร และรสชาติ”

มูลค่าตลาดจ่อเพิ่มเป็น 2 แสนล้าน
สุพัฒน์ กล่าวปิดท้ายให้ฟังอย่างน่าสนใจว่า แนวโน้มการเติบโตของตลาดเครื่องสำอางยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีมูลค้าทางการตลาดอยู่ที่ 1.35 แสนล้านบาท และคาดว่าจะโตเป็น 2 แสนล้านบาทในระยถัดไปหลังจากนี้ไม่นาน ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และที่สำคัญไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ยิ่งช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี เช่น ช่วงต้มยำกุ้ง ทุกธุรกิจชะลอตัวหมดหมดยกเว้นเครื่องสำอาง เพราะไม่ว่าจะอย่างไรผู้หญิงก็ต้องใช้เครื่องสำอาง และถือเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิต
“หากเป็นเสื้อผ้าซื้อครั้งเดียวใส่ได้ตลอด หรือเมื่อขาดเราก็ไม่ซื้อแบบเดิม ต้องมีการเปลี่ยนตามแฟชั่นใหม่ๆ แต่เครื่องสำอางใช้แล้วหมดก็ต้องซื้อเพิ่ม ยิ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีก็ยิ่งมีการซื้อซ้ำมากขึ้น ดังนั้น ธุรกิจเครื่องสำอางจึงเป็นธุรกิจที่คนรุ่นใหม่ และผู้ประกอบการรายใหม่อยากจะเข้ามา เพราะมีการเติบโตสูง”
เครื่องสำอางไทยเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศเป็นอย่างมากถึงมากที่สุด โดยปัจจุบันเป็นรองญี่ปุ่นเพียงแค่เจ้าเดียวเท่านั้น ตอนนี้พอๆกับเกาหลีจากเดิมที่เราด้อยกว่า และในอนาคตเราน่าจะเสมอญี่ปุ่น เนื่องจากเครื่องสำอางไทยมีผู้ประกอบการจำนวนมาก มีผู้ที่มีองค์ความรู้เยอะ ภาครัฐเองก็ให้การสนับสนุนที่ดี ที่สำคัญประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพที่สูงมาก เพราะฉะนั้นสารสกัดต่างๆที่เป็นตัวสำคัญในเครื่องสำอางได้มาจากสมุนไพรไทย ได้มาจากพืชพรรณธรรมชาติ และผลไม้มีเยอะมาก ซึ่งไม่มีที่อื่นในโลก เลยทำให้ได้สารสำคัญใหม่ๆ และด้วยมาตรฐานการผลิตที่เป็นระดับสากล ทำให้เกิดความมั่นใจระดับโลก.