สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 11 พ.ย. 68
1. สรุปสถานการณ์น้ำ และสภาพอากาศวันนี้ : หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเมียนมา ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกและภาคกลางตอนล่าง ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นปกคลุมภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ สำหรับภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ เนื่องจากมีลมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย
คาดการณ์ : วันที่ 13 – 16 พ.ย. 68 ประเทศไทยตอนบนจะมีอุณหภูมิลดลง กับมีอากาศเย็นในตอนเช้า เนื่องจากหย่อมความกดอากาศต่ำเคลื่อนไปปกคลุมประเทศเมียนมา ในขณะที่ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ สำหรับภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนบน และภาคใต้ตอนบนจะมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับจะมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนกลาง
2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 89% ของความจุเก็บกัก (71,713 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 82% (47,590 ล้าน ลบ.ม.)
การประเมินสถานการณ์แหล่งน้ำ แหล่งน้ำขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำเก็บกักน้อยกว่า 30% จำนวน 19 แห่ง ดังนี้ ภาคกลาง 3 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 แห่ง ภาคตะวันออก 6 แห่ง ภาคตะวันตก 5 แห่ง และภาคใต้ 2 แห่ง
3. คุณภาพน้ำ ณ จุดเฝ้าระวัง แม่น้ำสายหลัก
น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค แม่น้ำเจ้าพระยา ณ สถานีสูบน้ำสำแล จ.ปทุมธานี อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานน้ำเพื่อการเกษตร แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
4. ข่าวประชาสัมพันธ์ : วานนี้ (10 พ.ย. 68) นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมปรึกษาหารือการติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และการคาดการณ์ เพื่อปรับแผนบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยที่ประชุมเปิดเผยว่า ในปีนี้มีฝนตกเหนือเขื่อนเจ้าพระยามากเป็นอันดับ 2 รองจากปี 2565 โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่มีฝนตกหนักจากอิทธิพลทางอ้อมของพายุ “คัลแมกี” ส่งผลให้มีมวลน้ำระลอกใหม่ไหลเข้าเขื่อนภูมิพลเพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันเหลือช่องว่างรองรับน้ำอยู่เพียงประมาณ 127 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)
ที่ประชุมจึงได้มีมติเห็นชอบให้ทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันไดของเขื่อนภูมิพล จากอัตราเดิม 45 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 48 ล้าน ลบ.ม. ต่อวันในวันที่ 10 พ.ย. 68 ทั้งนี้ มวลน้ำดังกล่าวจะไหลต่อเนื่องลงสู่พื้นที่ตอนล่าง คาดว่าจะมีปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์สูงสุดประมาณ 3,100 ลบ.ม. ต่อวินาที และมีระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจังหวัดอุทัยธานีและชัยนาท ในส่วนของท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จะเริ่มเพิ่มการระบายน้ำตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. 68 จากอัตรา 2,800 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็น 2,900 ลบ.ม. ต่อวินาที และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง ซึ่งยังต่ำกว่าปี 2554 ที่มีการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาสูงสุด 3,700 ลบ.ม. ต่อวินาที
ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย จึงมีความพยายามอย่างยิ่งเพื่อเร่งคลี่คลายมวลน้ำออกจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด โดยขณะนี้ได้ประสานกรมชลประทานเพื่อระบายน้ำเข้าสู่ทุ่งลุ่มต่ำที่ยังมีพื้นที่รองรับเพิ่มเติม รวมทั้งจะเร่งดำเนินการระบายน้ำออกทางฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของเขื่อนเจ้าพระยาให้ได้มากที่สุด คาดว่าการระบายมวลน้ำรอบนี้จะเป็นรอบสุดท้ายของฤดูฝนปี 2568 เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) ประเมินว่า ฝนในพื้นที่ตอนบนจะลดลงตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. 68 และไม่มีแนวโน้มได้รับอิทธิพลจากพายุเพิ่มเติม เนื่องจากมวลความกดอากาศสูงได้แผ่เข้าปกคลุมพื้นที่ โดยฝนจะเคลื่อนตัวไปตกหนักในพื้นที่ภาคใต้มากขึ้น คาดว่าจะสามารถเริ่มระบายน้ำในอัตราต่ำกว่า 1,000 ลบ.ม. ต่อวินาที ได้ในช่วงประมาณสัปดาห์ที่ 2 – 3 ของเดือนธันวาคม ในการนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ดูแลผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ และจะเร่งหาแนวทางในการชดเชยเยียวยาเพิ่มเติมให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยมากกว่า 30 วัน รวมถึงกำชับให้เร่งรัดโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในระยะยาว โดย สทนช. ได้รายงานผลการประชุมครั้งนี้ให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบด้วยแล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 10 พ.ย. 68



