Skip to content
Fri. Dec 26th, 2025
  • Facebook
  • Twitter
AEC10NEWS

AEC10NEWS

Primary Menu
  • Home
  • NEWS
    • BREAKING NEWS
    • CHINA NEWS
    • ENERGY FORCE
    • EDITOR TALK
    • MONEY MOVEMENT
    • NATIONAL
    • OPEN NEWS
    • POLITICS
    • WORLD
    • ดวงประจำวัน
  • ASEAN
    • Brunei
    • Cambodia
    • Indonesia
    • Laos
    • Malaysia
    • Myanmar
    • Philippines
    • Singapore
    • Vietnam
  • EEC
  • SPECIAL REPORT
  • BUSINESS
    • BUSINESS MOVEMENT
    • HOT MARKETS
    • PHOTO STORIES
  • HOT NEWS
  • SPECIAL REPORT

SCB EIC เจาะลึกไฟฟ้าจากไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ แผนพลังงานปี 2024

08/07/2024 2 min read
SCB EIC เจาะลึกไฟฟ้าจากไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ แผนพลังงานปี 2024
  • LINEแชร์เลย!
ดูแล้ว: 1,717

แผน PDP ฉบับใหม่ (2024) และแผนการผลิตไฟฟ้าของกฟผ. จะหนุนให้มูลค่าไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 8 หมื่นล้านบาทในปี 2050

กระทรวงพลังงานมีแผนนำไฮโดรเจนมาใช้ผลิตไฟฟ้าจากเดิมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นพลังงานหลัก โดย PDP 2024
มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะนำไฮโดรเจนมาผสมกับก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลงในการผลิตไฟฟ้า โดยเบื้องต้น SCB EIC ประเมินว่า ในช่วงปี 2030-2037 จะมีการใช้ไฮโดรเจนในโรงไฟฟ้า IPP SPP และ กฟผ. เริ่มตั้งแต่ 5% หรือราว 141-151 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คิดเป็นมูลค่ารวมราว 10,000-12,000 ล้านบาท ณ ระดับราคาไฮโดรเจนสีเขียวราว 2.5-2.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ จากการประเมินตามเป้าหมายของ กฟผ. ที่จะทยอยเพิ่มไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติไปจนถึง 75% หรือราว 2,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2050 พบว่า มูลค่าไฮโดรเจนจะอยู่ที่ราว 80,000 ล้านบาท ณ ระดับราคาไฮโดรเจนสีเขียวที่จะลดลงเหลือราว 1.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม

คุณสมบัติเด่นของไฮโดรเจนที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ จะช่วยให้การผลิตไฟฟ้าเข้าสู่เป้าหมาย Carbon neutrality ในปี 2050

ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำถูกระบุให้เป็นแหล่งพลังงานใหม่ในการผลิตไฟฟ้าของไทย เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงสะอาด ที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำกว่าก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในไทย (Pool gas) ราว 3 เท่า ซึ่งหากมีการใช้ไฮโดรเจนสีเขียวเป็นเชื้อเพลิงสูงสุด 75% ของปริมาณก๊าซที่ต้องใช้ในโรงไฟฟ้าในปี 2050 จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ไม่น้อยกว่า 42% จากปี 2023 ซึ่งจะช่วยให้ไทยบรรลุเป้าหมาย Carbon neutrality ในปี 2050 ได้

SCB EIC ประเมินว่า ในกรณีที่แย่ที่สุด การใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำในการผลิตไฟฟ้า จะทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าต่อหน่วยในปี 2040 สูงขึ้น 28% และ 5% ตามลำดับ

โรงไฟฟ้าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการผสมและราคาในแต่ละปี ตัวอย่างเช่น SCB EIC พบว่า การผสมไฮโดรเจนสีเขียว 5% ในปี 2030-2037 จะส่งผลต่อต้นทุนของโรงไฟฟ้าสูงขึ้นราว 9% และค่าไฟฟ้าต่อหน่วยสูงขึ้น 1.6-1.7% ในขณะที่การผสมไฮโดรเจนสีเขียว 20% ในปี 2040 จะทำให้ต้นทุนของโรงไฟฟ้าสูงขึ้นราว 28% และค่าไฟฟ้าต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 5.4% ส่วนการผสมไฮโดรเจนสีเขียว 25% ในปี 2050 จะทำให้ต้นทุนของโรงไฟฟ้าสูงขึ้นราว 7% และค่าไฟฟ้าต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 1.6% โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากราคาไฮโดรเจนที่สูงกว่าก๊าซธรรมชาติ และการสมมุติให้โรงไฟฟ้าไม่มีนโยบายเรื่องการลดคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม

การผลักดันไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำให้เป็นเชื้อเพลิงหลักได้อย่างยั่งยืน จะต้องมีการ 1) ลดต้นทุนการผลิต 2) ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบใหม่ที่ผู้ผลิตไฟฟ้าสามารถผลิตไฮโดรเจนสีเขียวได้เอง โดยอาศัยโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้า และ 3) ผลักดันตลาดคาร์บอนเครดิต และระบบซื้อ–ขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ต้นทุนไฮโดรเจนมีผลต่อการพิจารณาใช้สูงที่สุด โดยจากการประเมินต้นทุนที่จะทำให้ผู้ผลิตไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าไม่ได้รับผลกระทบในระยะยาว ไฮโดรเจนสีเขียวในไทยควรจะมีราคาเฉลี่ยราว 8-9 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู (MMBTU) (0.9-1 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม) โดยภาครัฐร่วมกับภาคเอกชนสามารถช่วยกันพัฒนาทั้งการลดต้นทุนผ่านโมเดลการผลิตรูปแบบใหม่ที่ทำให้ต้นทุนและค่าไฟฟ้าลดลง หรือภาครัฐควรมีนโยบายสนับสนุนกลไกการใช้คาร์บอนเครดิตและระบบการซื้อ-ขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคบังคับ (Emission trading scheme, ETS)

ไฟฟ้าจากไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ (Low carbon hydrogen) แหล่งพลังงานใหม่ของไทยในอนาคต

ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำถูกระบุชัดเจนขึ้นในแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยใน PDP ฉบับใหม่ปี 2024 โดยจะเข้ามาทดแทนปริมาณก๊าซธรรมชาติราว 5% ของปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในโรงไฟฟ้าในช่วงปี 2030–2037 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายของ กฟผ. ที่จะทดแทนสูงสุด 75% ภายในปี 2050 เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้ภาคการผลิตไฟฟ้าบรรลุตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มเสถียรภาพทางพลังงานในประเทศ

ปัจจุบันไฟฟ้าพลังงานสะอาดในไทยได้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งจากความต้องการไฟฟ้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้นท่ามกลางเป้าหมายที่จะบรรลุการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย ทั้งจากความต้องการไฟฟ้าที่เร่งตัวมากขึ้นตามยุทธศาสตร์ของประเทศ อาทิ รถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และกลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต อย่าง AI Data center ที่ต้องใช้ไฟฟ้ามากขึ้นราว 3 เท่าตัวจาก Data center ปกติ ที่สำคัญยังต้องการใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดด้วย เนื่องจากเจ้าของหรือผู้ใช้งาน AI Data center เป็นองค์กรที่ต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาดเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net zero emission ซึ่งนับเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ภาครัฐเริ่มตื่นตัวในการเตรียมไฟฟ้าพลังงานสะอาดเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมแห่งอนาคตให้เข้ามาลงทุน ขณะเดียวกัน ยังมีความต้องการไฟฟ้าที่มากขึ้น
ในภาคประชาชนเอง จากการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของไทยที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องและส่งผลให้ใช้ไฟฟ้ามากขึ้น รวมถึงการใช้ไฟฟ้าที่สูงทะลุสถิติใหม่ในแต่ละปี ที่ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยเรื่องสภาวะโลกร้อนที่ส่งผลให้มีการใช้ไฟฟ้าโดยรวมมากขึ้นเช่นกัน

จากความต้องการไฟฟ้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้นท่ามกลางเป้าหมายที่จะบรรลุ Carbon neutrality และ Net zero ของประเทศ ทำให้แหล่งไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเป็นตัวช่วยสำคัญต่อแผนการผลิตไฟฟ้า หากพิจารณาจากร่างแผนกำลังการผลิตไฟฟ้า(PDP) ของไทย จะพบว่า ภาครัฐได้ตระหนักและเตรียมรับมือในเรื่องนี้แล้วจากPDP ฉบับใหม่ปี 2024 ที่คาดว่า
จะประกาศในช่วงปลายปี 2024 จะมีไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำเข้ามาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของแหล่งพลังงานใหม่ ที่จะมาทดแทนก๊าซธรรมชาติในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมหรือโคเจนเนอเรชั่น นอกเหนือจาก Solar PV, Solar + Battery และ Wind ที่เพิ่มขึ้นเป็นส่วนใหญ่ (คาดว่า PDP 2024 จะมีสัดส่วนของไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนราว 51%)


ที่มา : ข้อมูลจาก กฟผ. ในงาน ERC Forum 2024 และ ประกาศ Public hearing PDP 2024 ของ EPPO

ทั้งนี้จากแผน PDP 2024 ทางสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานแห่งชาติ หรือ EPPO มีการประกาศเป้าหมายการผลิตไฟฟ้า โดยจะมีสัดส่วนของไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติลดลงเหลือราว 41% ภายในปี 2037 ซึ่งจะรวมไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ
มาผสมด้วยราว 5% ของปริมาณก๊าซธรรมชาติ เข้ามาเป็นพลังงานสะอาดใหม่ในการผลิตไฟฟ้าในปี 2030-2037 ด้วย นอกจากนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เอง ได้มีแผนที่สอดรับนโยบาย PDP 2024 และมีเป้าหมายระยะยาวเช่นกัน
โดยกำหนดให้มีการใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำทดแทนก๊าซธรรมชาติ ที่จะเริ่มนำมาผสมในสัดส่วน 10%-20% ภายในปี 2040 และทยอยเพิ่มขึ้นเป็น 25%-75%ภายในปี 2050

โดยไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำจะเป็นเชื้อเพลิงทดแทนเฉพาะในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ที่ผลิตไฟฟ้าจำหน่ายแก่การไฟฟ้า (กฟผ. กฟภ. และ กฟน.) ได้แก่ โรงไฟฟ้า IPP และ SPP รวมถึงโรงไฟฟ้าของ กฟผ. เองที่ใช้ก๊าซธรรมชาติจากท่อส่งก๊าซหลักของ ปตท. ที่มีระบบท่อส่งก๊าซกระจายอยู่ทั่วประเทศและป้อนโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตรวมราว 32,561 MW ณ ไตรมาส 1 ปี 2024 ดังแสดงในรูปที่ 1

รูปที่ 1 : ระบบท่อก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ที่ป้อนเข้าโรงไฟฟ้า IPP, SPP และ กฟผ.ตามกำลังการผลิตรวม 32,561 MW

ที่มา : แผนผังระบบท่อก๊าซธรรมชาติจาก PTT และสัดส่วนกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติจากกฟผ.

หากมีการใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำมาทดแทนก๊าซธรรมชาติในระบบท่อส่งก๊าซของ ปตท. ตามแผน PDP 2024 ช่วงปี 2030-2037 แล้ว SCB EIC ประเมินว่าในปี 2030-2037 จะต้องใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำราว 141-151 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (MMSCFD) และหากอ้างอิงตามเป้าหมายของ กฟผ. ที่จะทยอยเพิ่มไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำในระยะยาว ไปจนถึงปี 2050 ประเมินว่าจะใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำสูงสุด ราว 2,118 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน(MMSCFD) ดังแสดงในรูปที่ 2 โดยจะผสมเป็นเชื้อเพลิงสำหรับโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลักรวมไปถึงโรงไฟฟ้าSPP ที่ผลิตไฟฟ้าเพื่อขายให้ลูกค้าประเภทอุตสาหกรรม (IU) ด้วย ตามการอ้างอิงข้อมูลประกาศปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติของโรงไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ ในปี 2023 จาก EPPO และแผนการใช้ก๊าซธรรมชาติในอนาคตตาม PDP 2024 และ Gas plan 2024 ทำให้ตลาดไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำเริ่มได้รับความสนใจและมีการพูดถึงในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะภาคธุรกิจ ซึ่งหากนำมาใช้เป็นพลังงานหลักในการผลิตไฟฟ้าที่จะเริ่มต้นในปี 2030 จนถึงปี 2037 ตามแผน PDP 2024 ไปจนถึงเป้าหมายระยะยาวของ กฟผ. ในปี 2040-2050 ก็จะทำให้เห็นถึงความต้องการของไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำและมูลค่าตลาดที่ชัดเจนขึ้น ดังแสดงในรูปที่ 3


รูปที่ 2 : ปริมาณไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำตาม PDP 2024 ในปี 2030-2037 ราว 151-141 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และตามเป้าหมาย กฟผ. ในปี 2040-2050 ราว 282-2,118 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

หน่วย : ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลประกาศของ กฟผ.และข้อมูล % ของปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในโรงไฟฟ้าจาก EPPO                         

รูปที่ 3 : มูลค่าตลาดไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ เติบโตตามสัดส่วนที่มากขึ้น โดยจะมีมูลค่าสูงสุดราว 82,000 ล้านบาทในปี 2050

หน่วย : ล้านบาท


ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลประกาศของ กฟผ. และปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในโรงไฟฟ้าจาก EPPO และราคาไฮโดรเจนสีเขียวจาก Bloomberg NEF                      

SCB EIC ประเมินมูลค่าตลาดไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำเฉพาะที่ต้องการใช้ในโรงไฟฟ้าของไทยจาก PDP 2024 ที่ผสมไฮโดรเจนในสัดส่วน 5% ของปริมาตร จะอยู่ที่ราว 1-2 หมื่นล้านบาทต่อปี ในช่วง 2030-2037 แต่หากประเมินตามเป้าหมายของ กฟผ. ที่จะผสมไฮโดรเจนในสัดส่วน 10%-20% ของปริมาตร ในปี 2040 จะมีมูลค่ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 2-4 หมื่นล้านบาทต่อปี และในปี 2050 ที่จะผสมในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นราว 25%-75% จะทำให้มีมูลค่ารวมราว 2-8 หมื่นล้านบาทต่อปี และหากมองในภาพรวม ที่ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำจะเข้ามาทดแทนก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลงในภาคอุตสาหกรรม (ปกติใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิต) ด้วยแล้ว จะทำให้มูลค่าของไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำในประเทศไทยสูงขึ้นจากที่ประเมินไปเบื้องต้นอีกราว 20-25% แน่นอนว่าการทดแทนด้วยไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำจะไปลดความต้องการก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในโรงไฟฟ้า IPP SPP และ กฟผ. ตามเป้าหมายของ PDP 2024 ในช่วงปี 2030-2037 จะเห็นว่าปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ต้องจัดหาสำหรับโรงไฟฟ้าจะเหลืออยู่ราว 2,600-2,800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และหากพิจารณาในระยะยาวจนถึงปี 2040-2050 ที่ประเมินตามเป้าหมายของ กฟผ. ความต้องการก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าจะลดลง เหลือราว 700-2,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ดังแสดงในรูปที่ 4 ซึ่งหากมองในมุมของความมั่นคงในการจัดหาพลังงานของประเทศ

การใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำที่สามารถผลิตเองได้ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นไฮโดรเจนสีฟ้า (หรือสีขาวที่เป็นผลผลิตพลอยได้ของ Supply chain ในอุตสาหกรรมเคมีและปิโตรเคมี) และไฮโดรเจนสีเขียวที่ผลิตจากไฟฟ้าพลังงานสะอาดเช่น Solar PV และ Wind ก็จะช่วยลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศที่มีการผันผวนของราคาตามตลาดโลกได้ 

รูปที่ 4 : ปริมาณก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าลดลงจาก PDP 2024 เหลือ 2,683ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2030 
และ คาดว่าจะลดลงเหลือ 706-2,118 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2050 ตามเป้าหมายของ กฟผ.

หน่วย : ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน


ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลประกาศของ กฟผ.และปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในโรงไฟฟ้าและแผน PDP จาก EPPO

ทำไมไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำถึงเป็นตัวเลือกของพลังงานใหม่สำหรับผลิตไฟฟ้าของไทย

คุณสมบัติเด่นของไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ คือ มีค่าความร้อนสูงและไม่มีการปล่อยคาร์บอนจากการเผาไหม้ 
และยังสามารถผลิตได้จากกระบวนการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ อาทิ ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนเป็นไฮโดรเจนสีเขียว ซึ่งจะมีคาร์บอนต่ำกว่าก๊าซธรรมชาติถึง 3 เท่า และสามารถนำมาผสมกับก๊าซธรรมชาติในระบบท่อก๊าซธรรมชาติได้

ก๊าซไฮโดรเจนจะประกอบด้วยไฮโดรเจน 2 อะตอม (H2) โดยไฮโดรเจนเป็นธาตุที่เบาที่สุด และมีค่าความร้อนสูงเหมาะ
ในการเป็นเชื้อเพลิง ทั้งนี้คุณสมบัติทั่วไปของก๊าซไฮโดรเจน คือ เป็นก๊าซไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ติดไฟง่าย มีความสะอาด ซึ่งการเผาไหม้ก๊าซไฮโดรเจนจะได้ผลผลิตเป็นน้ำและพลังงานเท่านั้น ทำให้ไฮโดรเจนจัดเป็นเชื้อเพลิงพลังงานสะอาด (ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไฮโดรเจน อ่านได้จากบทความของ SCB EIC Future perspective : เรื่อง กรีนไฮโดรเจน (Green Hydrogen) กุญแจสำคัญของหนทางสู่ Net zero)

จากการเปรียบเทียบไฮโดรเจนกับก๊าซธรรมชาติที่ใช้ป้อนโรงไฟฟ้าในไทย (Pool gas) จะพบว่า ก๊าซไฮโดรเจนมีความหนาแน่นทางพลังงานต่อปริมาตรประมาณ 300 บีทียูต่อลูกบาศก์ฟุต (BTU/SCF)  แต่หากเทียบกับก๊าซธรรมชาติยังน้อยกว่าราว 3 เท่า ดังนั้น การป้อนไฮโดรเจนผสมลงระบบท่อก๊าซธรรมชาติ (ท่อที่ติดตั้งแล้วในปัจจุบัน) ให้ได้พลังงานรวมเท่าเดิม จะต้องมีการตรวจสอบทั้งด้านวิศวกรรมและความปลอดภัยก่อนดำเนินการ เพื่อประเมินความเหมาะสมของระบบท่อและอุปกรณ์ที่สัมผัสไฮโดรเจน รวมถึงตรวจสอบประสิทธิภาพการเผาไหม้ทั้งนี้จากกรณีศึกษาถึงกระบวนการในการใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำเป็นเชื้อเพลิง ที่ผสมกับก๊าซธรรมชาติของบริษัทผลิตไฟฟ้าในต่างประเทศ พบว่า การใช้ไฮโดรเจนผสมเป็นเชื้อเพลิงจะทำให้ลดต้นทุนพลังงานได้ในระยะยาว แต่ต้องมีการลงทุนในอุปกรณ์เพื่อติดตั้งเพิ่มเติม ไปจนถึงการตรวจสอบและการทดสอบการทำงานก่อน โดยจะต้องมีแผนการหยุดผลิตไฟฟ้าชั่วคราวด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับการวางแผนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า และหน่วยงานที่กำกับดูแลต่อไป

การเผาไหม้ของไฮโดรเจนไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ หรือก๊าซที่จะส่งผลกระทบทางลบต่อสภาพภูมิอากาศ
ด้วยจุดเด่นนี้ ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เริ่มมีการระบุให้ใช้ไฮโดรเจน โดยเฉพาะไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้า ที่เดิมเป็นแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ เป็นลำดับต้น ๆ อย่างไรก็ตาม หากเจาะลึก
ถึงประเภทของไฮโดรเจนในตลาดก็จะมีหลายประเภท ซึ่งจะมีการปล่อยคาร์บอนฯในปริมาณที่แตกต่างกัน ในกรณีการใช้ไฮโดรเจนเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนสำหรับการผลิตไฟฟ้า SCB EIC ได้ประเมิน โดยการเปรียบเทียบการปล่อยคาร์บอนฯของไฮโดรเจนชนิดต่าง ๆ กับก๊าซธรรมชาติ ที่ใช้ป้อนโรงไฟฟ้าในไทย(Pool gas) พบว่า Pool gas จะมีการปล่อย CO2
อยู่ราว 66.6 Kg/ล้านบีทียู (MMBTU) ซึ่งสูงกว่าไฮโดรเจนสีฟ้าและสีเขียวที่มีการปล่อย CO2 ราว 34.8 และ 17.4 Kg/MMBTU ตามลำดับ (รูปที่ 5) ส่วนไฮโดรเจนสีเทามีการปล่อย CO2 ราว 104.5 Kg/MMBTU ซึ่งมากกว่า Pool gas ค่อนข้างมาก

ดังนั้น หากพิจารณาเชิงเปรียบเทียบการใช้พลังงานเพื่อที่จะลดการปล่อยคาร์บอนฯ ให้ได้ตามเป้าหมาย Carbon neutrality ในปี 2050 และ Net zero ในปี 2065 การใช้ไฮโดรเจนสีฟ้าและสีเขียวจึงเป็นตัวเลือกแหล่งพลังงานใหม่ ที่จะมีส่วนช่วยลดการปล่อยคาร์บอนของไทยได้

ความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ในการใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำผลิตไฟฟ้าในไทย

หากใช้ไฮโดรเจนทดแทนก๊าซธรรมชาติในโรงไฟฟ้าตาม PDP 2024 และเป้าหมายของ กฟผ. เพื่อให้ไทยบรรลุเป้าหมาย Net zero ในปี 2065 ได้ การใช้ไฮโดรเจนสีเขียว จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่สุด จากการลดการปล่อยคาร์บอนฯ สูงสุด และราคาต่ำสุดเทียบกับไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำชนิดอื่น ๆ แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ในกรณีที่ไม่มีนโยบายผลักดันการลดคาร์บอนฯ แต่หากมีนโยบายผลักดันการลดคาร์บอนฯ การใช้ไฮโดรเจนสีเขียวจะมีโอกาสช่วยลดค่าใช้จ่ายแก่ผู้ผลิตไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าได้

หากพิจารณาในแง่ความคุ้มค่าที่จะเลือกใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนฯ ต่ำมาทดแทนก๊าซธรรมชาติสำหรับการผลิตไฟฟ้า เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net zero ในปี 2065 แล้ว SCB EIC ประเมินว่าจะต้องพิจารณาใน 2 ประเด็นสำคัญ ดังนี้

1. ปริมาณการปล่อยคาร์บอนฯ ต่อล้านบีทียู (CO2/MMBTU) เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการปรับเปลี่ยนมาใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำซึ่งหากเปรียบเทียบระหว่างก๊าซธรรมชาติและไฮโดรเจนชนิดต่าง ๆ จะพบว่าไฮโดรเจนสีฟ้าและไฮโดรเจนสีเขียวจะเป็นทางเลือกที่ดี่สุด ส่วนไฮโดรเจนสีเทาน่าสนใจน้อยที่สุดในการนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนก๊าซธรรมชาติ จากปริมาณการปล่อยคาร์บอนฯ (CO2) ที่สูงที่สุดเทียบกับไฮโดรเจนชนิดอื่น ๆ และสูงกว่าก๊าซธรรมชาติที่ใช้สำหรับโรงไฟฟ้าในไทย (Pool gas) กว่า 1.5 เท่า
ดังแสดงในรูปที่ 5 แม้ว่าการปรับเปลี่ยนมาใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่การลดการปล่อยคาร์บอนฯ ที่ได้ จะเป็นผลพลอยได้ซึ่งสามารถสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต ทั้งนี้จากการศึกษาของ SCB EIC พบว่า การผสมไฮโดรเจนสีฟ้าและสีเขียวตามแผน PDP 2024 จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฯ ได้ราว 2-3 ล้านตันต่อปี แต่จากเป้าหมายที่ไทยจะเข้าสู่ Carbon neutrality ในปี 2050 การใช้ไฮโดรเจนสีเขียวที่มากขึ้นตามเป้าหมายของ กฟผ. ที่สัดส่วนสูงสุด 75% ในปี 2050 จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฯ ได้มากถึง 38 ล้านตันซึ่งจะทำให้ปี 2050 การปล่อยคาร์บอนฯ ในภาคการผลิตไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากฟอสซิลเหลือราว 51 ล้านตันคาร์บอนฯ เมื่อเทียบกับปี 2023 ที่ปล่อยคาร์บอนฯ รวม 89.6 ล้านตัน หรือลดลงราว 42% ดังแสดงรายละเอียดในรูปที่ 6


รูปที่ 5 : เปรียบเทียบปริมาณคาร์บอนฯ ของไฮโดรเจนและก๊าซธรรมชาติ (Pool gas) และราคาต่อหน่วยพลังงาน 

หน่วย : Kg CO2/MMBTU (กราฟซ้าย) และดอลลาร์สหรัฐต่อMMBTU (กราฟขวา)

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลราคาและปริมาณ CO2ของไฮโดรเจนจาก Bloomberg, NEF, IEA และประกาศข้อมูลก๊าซธรรมชาติจาก EPPO

รูปที่ 6 : คาร์บอนเครดิตที่ได้จากการใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำทดแทนก๊าซธรรมชาติ (Pool gas) 

หน่วย : ตันคาร์บอนต่อปี (ซ้ายมือ) และ MMBTUต่อวัน (ขวามือ)

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลปริมาณการปล่อยคาร์บอนของไฮโดรเจนชนิดต่าง ๆ จาก IEA  และข้อมูลปริมาณก๊าซธรรมชาติจาก EPPO

2. ราคาต่อพลังงาน (ดอลลาร์สหรัฐ/MMBTU) ที่ต่ำที่สุด จากข้อมูลราคาต่อพลังงานของโฮโดรเจนชนิดต่าง ๆ ในประเทศไทย ที่อ้างอิงจากBloomberg NEF มาพิจารณาประกอบตามแผนการใช้ไฮโดรเจนในการผลิตไฟฟ้าที่จะเริ่มในปี 2030 ถึงปี 2050 (ตัดการพิจารณาไฮโดรเจนสีเทาออก เนื่องจากมีการปล่อยคาร์บอนฯ ในอัตราสูงที่สุด ดังที่กล่าวไปเบื้องต้น) จากประมาณการราคาไฮโดรเจนของ Bloomberg NEF พบว่า ไฮโดรเจนสีเขียวมีความเหมาะสมที่สุดในการใช้เป็นเชื้อเพลิง จากราคาที่ต่ำที่สุดที่ราว 22.6 MMBTU หรือราว 2.6 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัมในปี 2030 และทยอยลดลงมาอยู่ที่ 10.9 MMBTU หรือราว 1.25 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัมในปี 2050 เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ลดลง ทั้งจากเทคโนโลยี Electrolysis ที่คาดว่าจะถูกลงและทรงตัวได้ในระดับต่ำ และค่าไฟฟ้าจาก Solar PV หรือ Wind ที่เป็นไฟฟ้าในการนำมาใช้ผลิตไฮโดรเจนสีเขียวก็มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน สำหรับไฮโดรเจนสีฟ้า แม้ว่าในปี 2023 จะมีราคาต่ำกว่าไฮโดรเจนสีเขียว แต่ในปี 2030-2050 คาดว่าราคาไฮโดรเจนสีฟ้าจะไม่ลดลงมากแล้ว จากต้นทุนที่ตึงตัว ทั้งจากราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไฮโดรเจนที่ราคาไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และการผลิตที่ยังต้องอาศัยขั้นตอนที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์อยู่ รวมถึงเทคโนโลยีการผลิตที่พ่วงการดักจับคาร์บอนที่คาดว่าจะเข้าสู่ต้นทุนที่คงที่แล้วในช่วงปี 2040-2050 ทำให้ราคาของไฮโดรเจนสีฟ้ายังทรงตัวอยู่ในระดับที่สูงกว่าไฮโดรเจนสีเขียว

จากการประเมินความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจ ทั้งส่วนของผู้ผลิตไฟฟ้าและผู้ใช้ไฟฟ้าโดยประเมินความคุ้มค่าในเชิงประโยชน์ที่ได้จากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของการใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำและต้นทุนในการผลิตซึ่งพิจารณาจากราคาต่อพลังงาน โดยส่วนของผู้ผลิตไฟฟ้าจะประเมินผลกระทบของค่าใช้จ่ายพลังงานรวมสำหรับโรงไฟฟ้าในเชิงเปรียบเทียบ ที่ประเมินได้จากค่าใช้จ่ายรวมของต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นของการใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำทดแทนในสัดส่วนต่าง ๆ มาหักลบกับผลประโยชน์ที่ได้ในรูปแบบคาร์บอนเครดิตจากการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ โดยจะพิจารณาใน 2 กรณี ทั้งกรณีตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจที่ไม่มีกลไกของรัฐมาสนับสนุน (Voluntary case) และกรณีที่ภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนผ่านตลาดการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต และระบบซื้อ-ขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคบังคับ (Emission trading scheme, ETS) (Policy push case) (รูปที่ 7)

รูปที่ 7 : ราคาคาร์บอนเครดิตจากตลาดสมัครใจและตลาดที่มีกลไกสนับสนุนจากนโยบายรัฐ

หน่วย : ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน CO2

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลราคาคาร์บอนเครดิตจาก Bloomberg NEF 

กรณีที่ 1 : ใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำในการผลิตไฟฟ้า โดยมีการขายคาร์บอนเครดิตในตลาดที่ซื้อขายคาร์บอนเครดิตแบบสมัครใจตามกลไกตลาด(Voluntary case) โรงไฟฟ้าจะมีค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น จากต้นทุนเชื้อเพลิงเดิมในการผลิตไฟฟ้าตาม PDP 2024 ในปี 2030-2037 ราว 9% จากการใช้ไฮโดรเจนสีเขียว ซึ่งกระทบต่อผู้ผลิตไฟฟ้าน้อยที่สุดหากเทียบกับการใช้ไฮโดรเจนสีฟ้าที่จะกระทบต้นทุนราว 11% ส่วนในปี 2037-2050 การใช้ไฮโดรเจนสีเขียวจะยังคงน่าสนใจมากกว่าเช่นกัน พบว่า จะมีต้นทุนเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดราว 7% (ทดแทน 25%) และสูงที่สุดถึง 28% (ทดแทน 20%) ซึ่งล้วนมีผลกระทบที่น้อยกว่าการใช้ไฮโดรเจนสีฟ้าดังแสดงรายละเอียดในรูปที่ 8 ซึ่งทุกสัดส่วนการผสมก็ล้วนมีผลกระทบต่อผู้ผลิตไฟฟ้าไม่มากก็น้อย เนื่องจากรายได้จากคาร์บอนเครดิตยังไม่มากพอที่จะมาชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ ตามสัดส่วนของไฮโดรเจนที่ใส่เข้าไป

กรณีที่ 2 : ใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำในการผลิตไฟฟ้า โดยมีภาครัฐเข้ามาสนับสนุน (Policy push case) ผ่านนโยบายสนับสนุนตลาดซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตและระบบซื้อ-ขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคบังคับ (ETS) เพื่อให้โรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าโดยปล่อยคาร์บอนให้อยู่ในกรอบตามเป้าหมาย Carbon neutrality และ Net zero ของประเทศ กรณีนี้ จะทำให้ราคาคาร์บอนเครดิตในตลาดสูงขึ้นมากกว่า 2-10 เท่าตัวจากกรณี Voluntary case (ตามรูปที่ 6) ซึ่งจะทำให้การนำไฮโดรเจนสีเขียวมาผสมในสัดส่วน 25%–75% ตามเป้าหมายของกฟผ. จะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนของเชื้อเพลิงโดยรวมได้ 28%–83% ตามลำดับ (ตามรูปที่ 9) เนื่องจากคาร์บอนเครดิตที่ได้จะมีมูลค่าสูงจนสามารถครอบคลุมต้นทุนไฮโดรเจนที่นำเข้ามาใช้ได้ ในทางกลับกัน โรงไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าและมีการปล่อยคาร์บอนเกินกรอบเป้าหมาย Carbon neutrality และ Net zero ก็สามารถซื้อสิทธิในการปล่อยคาร์บอนในรูปแบบ Allowance unit price ผ่านตลาดETS และคาร์บอนเครดิตในตลาดคาร์บอนได้

รูปที่ 9 : กรณี Policy push การใช้ไฮโดรเจนสีเขียวมีค่าใช้จ่ายสามารถลดลงได้มากที่สุด28-83% (ทดแทน 25-75% ในปี 2050)


รูปที่ 8 : กรณี Voluntary การใช้ไฮโดรเจนสีเขียวมีค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดราว 7% (ทดแทน 25% ในปี 2050)

หน่วย : % ค่าใช้จ่ายรวมที่เพิ่มขึ้น

หน่วย : % ค่าใช้จ่ายรวมที่เพิ่มขึ้น

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลราคาไฮโดรเจนและราคาคาร์บอนเครดิตจาก Bloomberg NEF 

ดังนั้น หากราคาไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำสูงมากจนกระทบต้นทุนการผลิต และตลาดคาร์บอนยังเป็นภาคสมัครใจซื้อขาย (Voluntary case) โดยไม่มีการบังคับหรือนโยบายสนับสนุนการลดคาร์บอนอย่างจริงจัง การใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำจะยังกระทบต่อค่าใช้จ่ายรวมของผู้ผลิตไฟฟ้าให้ต้องสูงขึ้น อย่างไรก็ดี SCB EIC ได้ประเมินราคาไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำที่เหมาะสม ที่จะไม่กระทบต่อต้นทุนของผู้ผลิตไฟฟ้ากรณีที่ตลาดคาร์บอนเป็นภาคสมัครใจ (Voluntary case) แล้ว พบว่า ราคาไฮโดรเจนสีฟ้าที่เหมาะสมที่สุดควรจะมีราคาต่ำกว่า 8.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อMMBTU หรือราว 0.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม และส่วนไฮโดรเจนสีเขียวราคาที่เหมาะสมที่สุดควรจะต่ำกว่า 8.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อMMBTU หรือราว 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม แต่หากตลาดคาร์บอนเครดิตและ ETS ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ (Policy push case) พบว่า ราคาไฮโดรเจนสีฟ้าและสีเขียวที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไป ขึ้นกับราคาของคาร์บอนเครดิตในตลาด อาทิ ไฮโดรเจนสีฟ้าจะอยู่ในช่วง 8.6-15.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อMMBTU หรือราว 1-1.8ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ส่วนไฮโดรเจนสีเขียวจะอยู่ในช่วง 8.9-19.7 ดอลลาร์สหรัฐต่อMMBTU หรือราว 1.03-2.27 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ดังแสดงในรูปที่ 10-11

รูปที่ 11 : (กรณี Policy push case) ราคาไฮโดรเจนสีเขียว
และสีฟ้าที่จะไม่กระทบต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้า จะแตกต่างกันไปตามสัดส่วนการผสม 

หน่วย ดอลลาร์สหรัฐต่อMMBTU

รูปที่ 10 : (กรณี Voluntary case) ราคาไฮโดรเจนสีเขียวและสีฟ้าต้องต่ำกว่า 8.6 ดอลลาร์สหรัฐ/MMBTU และ 8.4 ดอลลาร์สหรัฐ/MMBTU จะไม่กระทบต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้า

หน่วย ดอลลาร์สหรัฐต่อMMBTU

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลราคาไฮโดรเจนและราคาคาร์บอนเครดิตจาก Bloomberg NEF และราคาเฉลี่ย Pool gas จาก EPPO

ค่าไฟฟ้าจะเป็นอย่างไร? หากไทยใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำมาผลิตไฟฟ้า

ไฮโดรเจนสีเขียวมีความเหมาะสมในการใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนมากกว่าไฮโดรเจนสีฟ้า เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ต่ำกว่าและคาดว่าจะลดลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินต้นทุนค่าไฟฟ้ากรณีใช้ไฮโดรเจนสีเขียวพบว่าจะส่งผลให้ต้นทุนพลังงานรวมต่ำที่สุดในปี 2030-2037 ตาม PDP 2024 ที่ราว 1.6-1.7% โดยคิดจากฐานราคาไฟฟ้าไม่เกิน 4 บาทต่อหน่วย 

โดยทั่วไป ผู้ใช้ไฟฟ้ามักจะมีความอ่อนไหวต่อราคาค่าไฟฟ้า จากภาระค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าไฟฟ้าที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามต้นทุนพลังงานเป็นส่วนใหญ่ทั้งจากค่าเชื้อเพลิง และค่าซื้อไฟฟ้าจากแหล่งต่าง ๆ ซึ่งหากนำไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำมาทดแทนก๊าซธรรมชาติ จะทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติสูงขึ้นโดยจะแตกต่างกันไปตามสัดส่วนการผสมและราคาของไฮโดรเจน โดยหากใช้ไฮโดรเจนสีเขียวผสมในก๊าซธรรมชาติในกรณีฐานที่ตลาดคาร์บอนฯเป็นแบบสมัครใจ (Voluntary case) จะส่งผลต่อค่าเชื้อเพลิงในการคิดค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ราว 5.4% ในกรณีที่ผสมในสัดส่วน 20% (ราคาไฮโดรเจนสีเขียวอยู่ที่ราว 20 MMBTU หรือ2.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม) และหากเทียบกับกรณีที่ใช้ไฮโดรเจนสีฟ้าผสมในก๊าซธรรมชาติ จะส่งผลต่อค่าเชื้อเพลิงสำหรับคิดค่าไฟฟ้าสูงสุดราว 30.6%จากการผสมในสัดส่วน 75% ที่ราคาไฮโดรเจนสีฟ้าราว 26.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อMMBTU ดังแสดงรายละเอียดในตารางที่ 1

ตารางที่ 1 : ผลกระทบต่อต้นทุนพลังงานในการคิดค่าไฟฟ้าจากการผสมไฮโดรเจนในสัดส่วน 5%-75% (2030-2050)

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลราคาไฮโดรเจนและราคาคาร์บอนเครดิตจาก Bloomberg NEF และข้อมูลต้นทุนการคิดค่าไฟฟ้าจาก ERC

จากการประเมิน พบว่า หากต้องการนำไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำมาผสมเป็นเชื้อเพลิงในก๊าซธรรมชาติและส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าน้อยที่สุด ตามเป้าหมายการใช้ไฮโดรเจนในโรงไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2030 การเลือกใช้ไฮโดรเจนสีเขียวจะมีผลกระทบน้อยที่สุดในทุก ๆ สัดส่วนการผสมเมื่อเทียบกับไฮโดรเจนสีฟ้า อย่างไรก็ตาม หากราคาไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำทั้งสีเขียวและสีฟ้าลดลงมาเหลือราว 8 ดอลลาร์สหรัฐต่อMMBTU ซึ่งใกล้เคียงกับราคาก๊าซธรรมชาติ (Pool gas) ที่อ้างอิงในการประเมิน จะทำให้ไม่กระทบต่อราคาค่าไฟฟ้า

SCB EIC ประเมิน การใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำทั้งจากแผน PDP ฉบับใหม่ (2024) ที่จะผสมไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำในสัดส่วน 5% รวมถึงเป้าหมายของ กฟผ. ที่จะผสมไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำในสัดส่วน 10%-75% จะเป็นประโยชน์ในการช่วยลดคาร์บอนฯ ให้บรรลุเป้าหมาย Carbon neutrality ในปี 2050 ได้ จากการผสมไฮโดรเจนสีเขียวที่สัดส่วนมากที่สุด 75% ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ไม่น้อยกว่า 42% ซึ่งหากผนวกกับการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน อย่าง Solar PV , Solar PV + Battery และ Wind ด้วยแล้ว ก็จะยิ่งช่วยให้บรรลุเป้าหมาย Net zero ได้ภายในปี 2065 อย่างไรก็ตาม การผสมไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำยังมีผลกระทบเชิงลบทั้งจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นที่จะกระทบต่อผู้ผลิตไฟฟ้า และราคาไฟฟ้าที่สูงขึ้นที่จะกระทบต่อประชาชนและภาคธุรกิจด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่จะต้องพิจารณาเพื่อเป็นแนวทางในการช่วยพัฒนาและต่อยอดให้การใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำเกิดความคุ้มค่าทางธุรกิจ จะประเมินใน 2 มิติ คือ ระดับของไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำและการมีกลไกของภาครัฐสนับสนุนในส่วนของตลาดคาร์บอนเครดิต

รูปที่ 12 : ผลกระทบจากราคาไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำและตลาดคาร์บอนเครดิตในกรณีต่าง ๆ ที่มีต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและค่าไฟฟ้ากรณีต่าง ๆ

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC 

1. ราคาของไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ หากราคาถูกลงอยู่ในระดับ 8-9 ดอลลาร์สหรัฐต่อMMBTU หรือราว 0.9-1 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม จะช่วยทำให้ผู้ผลิตไฟฟ้าไม่กระทบต่อต้นทุนเชื้อเพลิง ซึ่งหากพิจารณาราคาปัจจุบันจนถึงราคาคาดการณ์ที่อยู่ระดับราว 60 MMBTU ในปี 2023-2024 หรือหากราคาลดลงมาที่ 10.9 MMBTU ในปี 2050 ก็ยังสูงกว่าราคาประเมินที่เหมาะสมดังนั้น จึงต้องเร่งส่งเสริมให้ผู้ผลิตสามารถพัฒนาเทคโนโลยี Electrolysisให้มีประสิทธิภาพการผลิตสูงขึ้น หรือราคาอุปกรณ์ที่ถูกลง รวมไปถึงผู้พัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าและภาครัฐที่กำกับดูแลด้านพลังงาน พัฒนาโมเดลการผลิตไฟฟ้าสะอาดรูปแบบใหม่ ที่พ่วงแหล่งพลังงานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ (Solar/Wind + Energy storage (electric or hydrogen) + Electrolysis) โดยอาศัยโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้า ก็คาดว่าจะมีส่วนช่วยให้ราคาไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำลดลงและต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำก็จะลดลงด้วย

2. กลไกจากภาครัฐ

1) การเพิ่มความเข้มข้นของนโยบายการใช้คาร์บอนเครดิตและระบบซื้อ-ขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นแบบภาคบังคับ(Policy push) จะช่วยทำให้กลไกราคาคาร์บอนฯ ในตลาดสูงขึ้น จะเป็นการสนับสนุนให้โรงไฟฟ้าหันมาใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำมากขึ้นจากสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับผ่านการขายคาร์บอนเครดิตและขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อีกทางหนึ่ง 

2) การส่งเสริมโมเดลการผลิตไฟฟ้ารูปแบบใหม่ที่ผู้ผลิตไฟฟ้าสามารถควบรวมแหล่งพลังงานไฟฟ้าได้ตั้งแต่ต้นน้ำผ่านมายังแหล่งผลิตไฟฟ้าผ่านโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น TPA และ Wheeling charge หรือ UGT สำหรับการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว ที่ทำให้ต้นทุนรวมอยู่ที่ราว 8-9 ดอลลาร์สหรัฐต่อMMBTU ที่หน้าโรงไฟฟ้า เป็นต้น

โดยสรุป การใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำตามแผนพลังงานและ PDP ฉบับใหม่ (2024) และเป้าหมาย
ของ กฟผ. โดยเฉพาะหากใช้ไฮโดรเจนสีเขียวในภาคการผลิตไฟฟ้าในสัดส่วน (10%-75%) ภายในปี 2050 จะเป็นประโยชน์ต่อการบรรลุเป้าหมาย Carbon neutrality ในปี 2050 จากการช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฯ ของการผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 42% จากปัจจุบัน แต่ยังคงต้องติดตามประเด็นการเพิ่มขึ้นของต้นทุน
ในฝั่งผู้ผลิตไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของประชาชน ที่ภาครัฐและเอกชนสามารถร่วมกันพัฒนาโมเดลการผลิตไฟฟ้ารูปแบบใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องต้นทุนและเพิ่มรายได้ของโรงไฟฟ้าจากสิทธิประโยชน์
จากการลดคาร์บอน ขณะเดียวกันก็ไม่กระทบค่าไฟฟ้าด้วย

บทวิเคราะห์โดย… https://www.scbeic.com/th/detail/product/pdp-2024-280624

ผู้เขียนบทวิเคราะห์

จิรวุฒิ อิ่มรัตน์ (jirawut.imrat@scb.co.th)​ นักวิเคราะห์อาวุโส​

60

SHARES
Share on Facebook
Post on X
Follow us
  • LINEแชร์เลย!
Tags: SCB EIC ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ

Continue Reading

Previous: “หญิงหน่อย” ค้าน ให้”ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี” ชี้ คนไทยกำลังถูก “ยึดบ้าน”
Next: ราคาทองคำวันนี้ (8 ก.ค. 67) เปลี่ยนแปลงทั้งหมด 7 ครั้ง ทองปรับลง 200 บาท

ข่าวอื่นๆ ที่น่าอ่าน

สรุปสถานการณ์น้ำ สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 26 ธ.ค. 68 1 min read
  • NATIONAL
  • HOT NEWS

สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 26 ธ.ค. 68

26/12/2025
ดวงประจำวัน ดวงประจำวันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2568 1 min read
  • ดวงประจำวัน
  • HOT NEWS

ดวงประจำวันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2568

26/12/2025
สรุปข่าวประจำวันที่ 26 ธันวาคม 2568 สรุปข่าวประจำวันที่ 26 ธันวาคม 2568 1 min read
  • NATIONAL
  • HOT NEWS

สรุปข่าวประจำวันที่ 26 ธันวาคม 2568

26/12/2025
S__4792822 กล้าธรรม เปิดตัว ธรรมนัส พรหมเผ่า แคนดิเดตนายกฯคนเดียว 1 min read
  • HOT NEWS
  • POLITICS

กล้าธรรม เปิดตัว ธรรมนัส พรหมเผ่า แคนดิเดตนายกฯคนเดียว

25/12/2025
คณะกรรมการ บสย. มีมติแต่งตั้ง  “สิทธิกร ดิเรกสุนทร” ดำรงตำแหน่ง “ผู้จัดการทั่วไป” สมัย 2 คณะกรรมการ บสย. มีมติแต่งตั้ง  “สิทธิกร ดิเรกสุนทร” ดำรงตำแหน่ง ‘ผู้จัดการทั่วไป’ สมัย 2 1 min read
  • MONEY MOVEMENT
  • HOT NEWS

คณะกรรมการ บสย. มีมติแต่งตั้ง  “สิทธิกร ดิเรกสุนทร” ดำรงตำแหน่ง ‘ผู้จัดการทั่วไป’ สมัย 2

25/12/2025
603905583_122109340803144368_3738703832911868036_n เพื่อไทย เปิดนโยบาย ตั้งเป้าเศรษฐกิจไทยโต 5% – ค่าไฟ 3.70 บ./หน่วย 1 min read
  • POLITICS
  • HOT NEWS

เพื่อไทย เปิดนโยบาย ตั้งเป้าเศรษฐกิจไทยโต 5% – ค่าไฟ 3.70 บ./หน่วย

25/12/2025
ทบ ด่วน! ยึดเนิน 225 เรียบร้อย ทหารไทยทำสำเร็จ 1 min read
  • POLITICS
  • HOT NEWS

ด่วน! ยึดเนิน 225 เรียบร้อย ทหารไทยทำสำเร็จ

25/12/2025
สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 25 ธ.ค. 68 1 min read
  • NATIONAL
  • HOT NEWS

สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 25 ธ.ค. 68

25/12/2025
สรุปข่าวประจำวันที่ 25 ธันวาคม 2568 สรุปข่าวประจำวันที่ 25 ธันวาคม 2568 1 min read
  • NATIONAL
  • HOT NEWS

สรุปข่าวประจำวันที่ 25 ธันวาคม 2568

25/12/2025
เปิดแล้ว!! สะพานมิตรภาพ 5 ไทย-สปป.ลาว เปิดแล้ว!! สะพานมิตรภาพ 5 ไทย-สปป.ลาว 1 min read
  • POLITICS
  • HOT NEWS

เปิดแล้ว!! สะพานมิตรภาพ 5 ไทย-สปป.ลาว

25/12/2025
ดวงประจำวัน ดวงประจำวันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2568 1 min read
  • ดวงประจำวัน
  • HOT NEWS

ดวงประจำวันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2568

25/12/2025
4V4A7296 มติ พรรคประชาธิปัตย์ ‘ไม่จับมือกล้าธรรม’ 1 min read
  • POLITICS
  • HOT NEWS

มติ พรรคประชาธิปัตย์ ‘ไม่จับมือกล้าธรรม’

24/12/2025

China News

รถไฟความเร็วสูงของจีน วิ่งทดสอบความเร็ว 453 กม./ชม. รถไฟความเร็วสูงของจีน วิ่งทดสอบความเร็ว 453 กม./ชม. 1 min read
  • CHINA NEWS
  • HOT NEWS

รถไฟความเร็วสูงของจีน วิ่งทดสอบความเร็ว 453 กม./ชม.

21/10/2025
LINEแชร์เลย! รถไฟหัวกระสุนที่เร็วที่สุดในโลก CR450 เริ่มการทดลองใช้งานก่อนเปิดให้บริการบนเส้นทางรถไฟความเร็วสูงของจีน โดยสามารถทำความเร็วได้สูงสุดต่อขบวนถึง 453 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หนังสือพิมพ์ไซแอนซ์แอนด์เทคโนโลยีเดลี (Science... อ่านต่อ

Start Up

ธพว. เคียงข้าง ‘เสียงเกษมโซล่าเซลล์’ พาถึงแหล่งทุน หนุนกิจการเติบโต 457C5A49-7DCB-4EA0-ACF5-B856D1843534 1 min read
  • HOT NEWS
  • START UP

ธพว. เคียงข้าง ‘เสียงเกษมโซล่าเซลล์’ พาถึงแหล่งทุน หนุนกิจการเติบโต

01/09/2022
LINEแชร์เลย! “ขอบคุณ ธพว. ที่สนับสนุน “เสียงเกษมโซล่าเซลล์” พาเข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมสภาพคล่องกิจการ ควบคู่กับการให้คำปรึกษา แนะนำธุรกิจ... อ่านต่อ

Money Movement

คณะกรรมการ บสย. มีมติแต่งตั้ง  “สิทธิกร ดิเรกสุนทร” ดำรงตำแหน่ง ‘ผู้จัดการทั่วไป’ สมัย 2 คณะกรรมการ บสย. มีมติแต่งตั้ง  “สิทธิกร ดิเรกสุนทร” ดำรงตำแหน่ง “ผู้จัดการทั่วไป” สมัย 2
1 min read
  • MONEY MOVEMENT
  • HOT NEWS

คณะกรรมการ บสย. มีมติแต่งตั้ง  “สิทธิกร ดิเรกสุนทร” ดำรงตำแหน่ง ‘ผู้จัดการทั่วไป’ สมัย 2

25/12/2025
ธอส. ปรับลดดอกเบี้ยเงิน 0.25% ขานรับแบงก์ชาติ ธอส. ปรับลดดอกเบี้ยเงิน 0.25% ขานรับแบงก์ชาติ
1 min read
  • MONEY MOVEMENT
  • HOT NEWS

ธอส. ปรับลดดอกเบี้ยเงิน 0.25% ขานรับแบงก์ชาติ

22/12/2025
“ดร.มหัทธนะ” เข้ารับตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ ธอส. อย่างเป็นทางการ “ดร.มหัทธนะ” เข้ารับตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ ธอส. อย่างเป็นทางการ
1 min read
  • MONEY MOVEMENT
  • HOT NEWS

“ดร.มหัทธนะ” เข้ารับตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ ธอส. อย่างเป็นทางการ

22/12/2025
ทีทีบี ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี ทีทีบี ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี
1 min read
  • HOT NEWS
  • MONEY MOVEMENT

ทีทีบี ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี

21/12/2025
ไทยพาณิชย์ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผลวันที่ 23 ธ.ค. 2568 ไทยพาณิชย์ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผลวันที่ 23 ธ.ค. 2568
1 min read
  • MONEY MOVEMENT
  • HOT NEWS

ไทยพาณิชย์ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผลวันที่ 23 ธ.ค. 2568

19/12/2025
คณะกรรมการ บสย. มีมติแต่งตั้ง  “สิทธิกร ดิเรกสุนทร” ดำรงตำแหน่ง “ผู้จัดการทั่วไป” สมัย 2

คณะกรรมการ บสย. มีมติแต่งตั้ง  “สิทธิกร ดิเรกสุนทร” ดำรงตำแหน่ง ‘ผู้จัดการทั่วไป’ สมัย 2

ธอส. ปรับลดดอกเบี้ยเงิน 0.25% ขานรับแบงก์ชาติ

ธอส. ปรับลดดอกเบี้ยเงิน 0.25% ขานรับแบงก์ชาติ

“ดร.มหัทธนะ” เข้ารับตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ ธอส. อย่างเป็นทางการ

“ดร.มหัทธนะ” เข้ารับตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ ธอส. อย่างเป็นทางการ

ทีทีบี ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี

ทีทีบี ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี

ไทยพาณิชย์ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผลวันที่ 23 ธ.ค. 2568

ไทยพาณิชย์ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผลวันที่ 23 ธ.ค. 2568

Energy Force

ก.พลังงาน รับลูก ครม. อนุมัติต่อระยะเวลาผลิตแหล่งไพลิน 10 ปี ก.พลังงาน รับลูก ครม. อนุมัติต่อระยะเวลาผลิตแหล่งไพลิน 10 ปี 1 min read
  • ENERGY FORCE
  • HOT NEWS

ก.พลังงาน รับลูก ครม. อนุมัติต่อระยะเวลาผลิตแหล่งไพลิน 10 ปี

03/12/2025
LINEแชร์เลย! นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม... อ่านต่อ

Politics

S__4792822 กล้าธรรม เปิดตัว ธรรมนัส พรหมเผ่า แคนดิเดตนายกฯคนเดียว 1 min read
  • HOT NEWS
  • POLITICS

กล้าธรรม เปิดตัว ธรรมนัส พรหมเผ่า แคนดิเดตนายกฯคนเดียว

25/12/2025
603905583_122109340803144368_3738703832911868036_n เพื่อไทย เปิดนโยบาย ตั้งเป้าเศรษฐกิจไทยโต 5% – ค่าไฟ 3.70 บ./หน่วย 1 min read
  • POLITICS
  • HOT NEWS

เพื่อไทย เปิดนโยบาย ตั้งเป้าเศรษฐกิจไทยโต 5% – ค่าไฟ 3.70 บ./หน่วย

25/12/2025
ทบ ด่วน! ยึดเนิน 225 เรียบร้อย ทหารไทยทำสำเร็จ 1 min read
  • POLITICS
  • HOT NEWS

ด่วน! ยึดเนิน 225 เรียบร้อย ทหารไทยทำสำเร็จ

25/12/2025

ประเด็นข่าว

EXIM BANK KBANK scb SME D Bank กรมชลประทาน กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กรุงไทย กสิกรไทย กอนช. ข่าวเด่น ข่าวดัง คปภ. ครม. ค่าเงินบาท ดวงประจำวัน ตลาดหุ้น ธ.ก.ส. ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ธอส. นายฉัตรชัย ศิริไล นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ บก.ชวนคุย บางจาก ปตท. ประเมินค่าเงินบาท พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาล ราคาทองคำ ราคาน้ำมัน สถานการณ์น้ำ สรุปข่าวประจำวัน สรุปสถานการณ์น้ำ สิงคโปร์ อาจารย์มงคล รอดเที่ยงธรรม เศรษฐกิจไทย เศรษฐา ทวีสิน แพทองธาร ชินวัตร โควิด-19 ไทยพาณิชย์

Business Movement

ธ.ก.ส. ชวนเลือกซื้อของขวัญของฝากรับปีใหม่ 24-26 ธ.ค.นี้ที่ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ ธ.ก.ส. ชวนเลือกซื้อของขวัญของฝากรับปีใหม่ 24-26 ธ.ค.นี้ ที่ ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ 1 min read
  • BUSINESS MOVEMENT

ธ.ก.ส. ชวนเลือกซื้อของขวัญของฝากรับปีใหม่ 24-26 ธ.ค.นี้ ที่ ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่

23/12/2025
กรมสรรพสามิต “งดรับของขวัญ” ของกำนัลทุกชนิด กรมสรรพสามิต “งดรับของขวัญ” ของกำนัลทุกชนิด 1 min read
  • BUSINESS MOVEMENT

กรมสรรพสามิต “งดรับของขวัญ” ของกำนัลทุกชนิด

18/12/2025
SCBX ยื่นจดสิทธิบัตร 3 นวัตกรรมสำคัญด้าน AI  SCBX ยื่นจดสิทธิบัตร 3 นวัตกรรมสำคัญด้าน AI  1 min read
  • BUSINESS MOVEMENT

SCBX ยื่นจดสิทธิบัตร 3 นวัตกรรมสำคัญด้าน AI 

17/12/2025
ทีเอ็มบีธนชาต ลุยซื้อหุ้นคืนระยะ 3 ปี วงเงินรวม 2.1 หมื่นล้าน ทีเอ็มบีธนชาต ลุยซื้อหุ้นคืนระยะ 3 ปี วงเงินรวม 2.1 หมื่นล้านบาท 1 min read
  • BUSINESS MOVEMENT

ทีเอ็มบีธนชาต ลุยซื้อหุ้นคืนระยะ 3 ปี วงเงินรวม 2.1 หมื่นล้านบาท

16/12/2025

Recommend

เริ่มแล้ววันนี้! “ฝากบ้านกับตำรวจ 4.0” อุ่นใจรับปีใหม่ 69 เดินทางไกล บ้านปลอดภัย เริ่มแล้ววันนี้! “ฝากบ้านกับตำรวจ 4.0” อุ่นใจรับปีใหม่ 69 เดินทางไกล บ้านปลอดภัย 1 min read
  • POLITICS
  • HOT NEWS
  • RECOMMEND

เริ่มแล้ววันนี้! “ฝากบ้านกับตำรวจ 4.0” อุ่นใจรับปีใหม่ 69 เดินทางไกล บ้านปลอดภัย

22/12/2025
เริ่มแล้ว! กฎหมายใหม่ลาคลอดยาว 4 เดือน เริ่มแล้ว! กฎหมายใหม่ลาคลอดยาว 4 เดือน 1 min read
  • NATIONAL
  • HOT NEWS
  • RECOMMEND

เริ่มแล้ว! กฎหมายใหม่ลาคลอดยาว 4 เดือน

07/12/2025
ครม.ไฟเขียว ต่ออายุใบอนุญาตทำงาน ลาว-เมียนมา-เวียดนาม ครม.ไฟเขียว ต่ออายุใบอนุญาตทำงาน ลาว-เมียนมา-เวียดนาม 1 min read
  • NATIONAL
  • HOT NEWS
  • RECOMMEND

ครม.ไฟเขียว ต่ออายุใบอนุญาตทำงาน ลาว-เมียนมา-เวียดนาม

02/12/2025
ครม.ไฟเขียวงบ 800 ล้าน พัฒนา "คนละครึ่ง พลัส" ต่อร้านค้า ลุยดิจิทัล ครม.ไฟเขียวงบ 800 ล้าน พัฒนา “คนละครึ่ง พลัส” ต่อ ร้านค้าลุยดิจิทัล 1 min read
  • NATIONAL
  • HOT NEWS
  • RECOMMEND

ครม.ไฟเขียวงบ 800 ล้าน พัฒนา “คนละครึ่ง พลัส” ต่อ ร้านค้าลุยดิจิทัล

18/11/2025

Photo Stories

ผู้บริหาร ธอส. ร่วมบรรจุถุงยังชีพ ช่วยผู้ได้รับผลกระทบสถานการณชายแดนไทย–กัมพูชา ผู้บริหาร ธอส. ร่วมบรรจุถุงยังชีพ ช่วยผู้ได้รับผลกระทบสถานการณชายแดนไทย–กัมพูชา 1 min read
  • PHOTO STORIES

ผู้บริหาร ธอส. ร่วมบรรจุถุงยังชีพ ช่วยผู้ได้รับผลกระทบสถานการณชายแดนไทย–กัมพูชา

24/12/2025
ธอส. รับ 3 รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2568 ธอส. รับ 3 รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2568 1 min read
  • PHOTO STORIES

ธอส. รับ 3 รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2568

23/12/2025
สำนักงานสลากฯ รับมอบ 2 รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น สำนักงานสลากฯ รับมอบ 2 รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น 1 min read
  • PHOTO STORIES

สำนักงานสลากฯ รับมอบ 2 รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น

22/12/2025
กฟผ. คว้า 5 รางวัล SOE Awards ประจำปี 2568 กฟผ. คว้า 5 รางวัล SOE Awards ประจำปี 2568 1 min read
  • PHOTO STORIES

กฟผ. คว้า 5 รางวัล SOE Awards ประจำปี 2568

22/12/2025
ธ.ก.ส. คว้า 4 รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นปี 2568 ธ.ก.ส. คว้า 4 รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นปี 2568 1 min read
  • PHOTO STORIES

ธ.ก.ส. คว้า 4 รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นปี 2568

22/12/2025
เมืองไทยสไมล์คลับ จัดกิจกรรม Special Dining มื้ออร่อยกับคุณพ่อที่ SEKI  เมืองไทยสไมล์คลับ จัดกิจกรรม Special Dining มื้ออร่อยกับคุณพ่อที่ SEKI  1 min read
  • PHOTO STORIES

เมืองไทยสไมล์คลับ จัดกิจกรรม Special Dining มื้ออร่อยกับคุณพ่อที่ SEKI 

18/12/2025
การออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. งวดวันที่ 16 ธ.ค. 2568 การออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. งวดวันที่ 16 ธ.ค. 2568 1 min read
  • PHOTO STORIES

การออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. งวดวันที่ 16 ธ.ค. 2568

17/12/2025
“MTL” รับประกาศนียบัตรแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย การต่ออายุครั้งที่ 3 “MTL” รับประกาศนียบัตรแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย การต่ออายุครั้งที่ 3 1 min read
  • PHOTO STORIES

“MTL” รับประกาศนียบัตรแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย การต่ออายุครั้งที่ 3

16/12/2025
กบข. และ สศค. จัดกิจกรรม CSR เสริมสร้างทักษะด้านการเงินแก่เยาวชน กบข. และ สศค. จัดกิจกรรม CSR เสริมสร้างทักษะด้านการเงินแก่เยาวชน 1 min read
  • PHOTO STORIES

กบข. และ สศค. จัดกิจกรรม CSR เสริมสร้างทักษะด้านการเงินแก่เยาวชน

15/12/2025
4 องค์กรใหญ่ร่วมใจจัดกิจกรรม Bhappy ครั้งที่ 15 ร่วมฟื้นป่ารักษาสิ่งแวดล้อม 4 องค์กรใหญ่ร่วมใจจัดกิจกรรม Bhappy ครั้งที่ 15 ร่วมฟื้นป่ารักษาสิ่งแวดล้อม 1 min read
  • PHOTO STORIES

4 องค์กรใหญ่ร่วมใจจัดกิจกรรม Bhappy ครั้งที่ 15 ร่วมฟื้นป่ารักษาสิ่งแวดล้อม

15/12/2025
ออมสิน ช่วยตั้งหลักให้ผู้ปกครองชาวหาดใหญ่ สนับสนุนอุปกรณ์เครื่องใช้เด็กนักเรียน ออมสิน ช่วยตั้งหลักให้ผู้ปกครองชาวหาดใหญ่ สนับสนุนอุปกรณ์เครื่องใช้เด็กนักเรียน 1 min read
  • PHOTO STORIES

ออมสิน ช่วยตั้งหลักให้ผู้ปกครองชาวหาดใหญ่ สนับสนุนอุปกรณ์เครื่องใช้เด็กนักเรียน

15/12/2025
SAM คงอันดับเครดิต TRIS ระดับ “AA+” แนวโน้ม “Stable” ต่อเนื่อง 6 ปี SAM คงอันดับเครดิต TRIS ระดับ “AA+” แนวโน้ม “Stable” ต่อเนื่อง 6 ปี 1 min read
  • PHOTO STORIES

SAM คงอันดับเครดิต TRIS ระดับ “AA+” แนวโน้ม “Stable” ต่อเนื่อง 6 ปี

15/12/2025
ไทยพาณิชย์ จับมือ กรมลดโลกร้อน หนุนโครงการ G-Green ไทยพาณิชย์ จับมือ กรมลดโลกร้อน หนุนโครงการ G-Green 1 min read
  • PHOTO STORIES

ไทยพาณิชย์ จับมือ กรมลดโลกร้อน หนุนโครงการ G-Green

15/12/2025
เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัล “ประกาศเกียรติคุณจรรยาบรรณดีเด่นหอการค้าไทย” เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัล “ประกาศเกียรติคุณจรรยาบรรณดีเด่นหอการค้าไทย” 1 min read
  • PHOTO STORIES

เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัล “ประกาศเกียรติคุณจรรยาบรรณดีเด่นหอการค้าไทย”

13/12/2025
KBank ผนึก แสนสิริ-EGAT-INNOPOWER-ION สนับสนุนลูกบ้านสร้างรายได้จากโซลาร์ KBank ผนึก แสนสิริ-EGAT-INNOPOWER-ION สนับสนุนลูกบ้านสร้างรายได้จากโซลาร์ 1 min read
  • PHOTO STORIES

KBank ผนึก แสนสิริ-EGAT-INNOPOWER-ION สนับสนุนลูกบ้านสร้างรายได้จากโซลาร์

11/12/2025

บก.ชวนคุย

บก.ชวนคุย วันที่ 25 ก.พ.2568 บก.ชวนคุย วันที่ 25 ก.พ.2568 1 min read
  • HOT NEWS
  • EDITOR TALK

บก.ชวนคุย วันที่ 25 ก.พ.2568

25/02/2025
LINEแชร์เลย! บก.ชวนคุย เรื่องที่ 4,391 แอพเงินกู้แหล่งทุนยุคเศรษฐกิจดิจิทัล  ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และความท้าทายทางการงาน การเงิน คนไทยมากกว่า... อ่านต่อ

ติดต่อเรา

สนใจร่วมงานกับเรา Aec10news.com คลิ๊กติดต่อเรา รับซื้อ..รายงาน สกู๊ป บทความ รายได้สูง !!!

  • Facebook
  • Twitter
สงวนลิขสิทธิ์ © 2560 เว็บไซต์ AEC10NEWS.COM